19 ปี 19 กันยายน บทเรียนร่วมกันของคนไทยณ วันนั้น วันที่นโยบายหลายอย่างกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พลิกโฉมประเทศไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก เศรษฐกิจไทยเดินหน้า ความฝันของคนไทยอยู่ในกำมือ เราอยากเป็นอะไรก็ได้เป็น
ประชาธิปไตยเบ่งบาน คุณภาพชีวิตประชาชนค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับในวันนี้ที่คนไทยมีมติร่วมกันว่าไม่เอารัฐประหารอีกต่อไปแล้วพรรคเพื่อไทย ชวนย้อนอ่านหลายนโยบายที่เริ่มลงหลักและหากไม่มีรัฐประหารในวันนั้น นโยบายเหล่านี้อาจถูกต่อยอดอย่างงดงาม #ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
30 บาทรักษาทุกโรค
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ครั้งแรกของไทย
โอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ทั่วถึง เท่าเทียมกัน
.
จากการดูแคลนว่า 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นเพียงนโยบายหาเสียง เกินจินตนาการ และทำไม่ได้ สู่การนำร่องโครงการ #30บาทรักษาทุกโรค ในวันที่ 1 เมษายน 2544 กับพื้นที่ 6 จังหวัด แล้วขยายไปครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศในเวลา 8 เดือน
.
นำไปสู่การประกาศใช้ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545 ตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเป็น ‘ตัวแทน’ ประชาชน บริหารระบบการจัดการของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กำหนดและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนได้รับบริการอย่างเท่าเทียม มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ โดยมี นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ผลักดันโครงการ เป็นเลขาธิการ สปสช. คนแรก
.
อาจกล่าวได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ คือการตอกเสาเข็ม #ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ครั้งสำคัญของประเทศไทย และแข็งแรงขนาดที่แม้จะมีความพยายาม ‘ทุบ’ ‘ลดทอน’ ‘แก้กฎหมาย’ ตลอดมากว่า 20 ปี แต่ด้วยปรัชญาของระบบ ความนิยมและได้ประโยชน์อย่างถ้วนหน้าของประชาชน และด้วยกฎหมายที่เขียนคุ้มกันไว้อย่างแข็งแรง ก็ไม่มีใครทำลายลงได้
.
เช่น ความพยายามของรัฐบาล คสช. ครั้งหนึ่งที่เคยพยายามแก้กฎหมายฉบับนี้เพื่อลดอำนาจของ สปสช. เสนอลดสัดส่วนคณะกรรมการที่มาจากภาคประชาชน หรือคณะกรรมการฝั่ง ‘ผู้ซื้อ’ ลง แล้วเพิ่มสัดส่วนคณะกรรมการฝ่าย ‘ผู้ให้’ บริการ คือ ฝ่ายกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น ประเด็นนี้ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ที่ต้องการให้ ‘บอร์ดบริหาร’ ถูกคัดเลือกมาจากตัวแทนของประชาชนมากที่สุด
.
หรือ ยังมีความพยายาม ‘ลดทอน’ คุณค่าของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่ตลอด ตั้งแต่ ‘บัตรทอง’ ยังอยู่ในขั้นพัฒนาไอเดีย ถึงวันประกาศใช้ และตลอดมาถึงปัจจุบัน อย่างที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่า นี่คือการทำประชานิยมครั้งใหญ่ของพรรคไทยรักไทย โครงการนี้คือการสร้างภาระทางการคลัง หรือ โครงการนี้คือมูลเหตุที่จะทำให้ประชาชนดูแลสุขภาพน้อยลงเพราะเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้นและถูกลง และอีกหลายมายาคติหรือวาทกรรมที่สร้างมาเพื่อโจมตีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า มากกว่าจะวิพากษ์เพื่อพัฒนาระบบ
.
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ นอกจากจะล้มไม่ได้ นำสู่การต่อยอดนโยบายมาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสินได้สำเร็จ
.
ข้างต้นคือการต่อสู้ที่ทำให้โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ไม่ถูกล้ม ‘หลังจาก’ ที่โครงการได้เริ่มลงหลักปักฐานในไทยจริงๆ ที่เรียกว่ายากและถูกลดทอนในทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบดีว่า ‘กว่าจะเป็น’ 30 บาท รักษาทุกโรค ไทยรักไทยก็เจอกับแรงเสียดทานไม่น้อย
.
ย้อนเวลาไปก่อนปี 2544 มีความพยายามจากรัฐบาลก่อนหน้าเรื่องการจัดระบบสาธารณสุขมาก่อนแล้ว แต่เป็นการจัดทำด้วยการให้สิทธิประชาชน ‘ทีละกลุ่ม’ หรือระบบสังคมสงเคราะห์ที่ให้ ‘เฉพาะกลุ่มคนที่จำเป็น’ เช่น สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการใน พ.ศ. 2504 การจัดตั้งโครงการสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย (บัตร สปน.) ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปี 2518 หรือ สมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ก็มีความพยายามทำประกันสุขภาพระบบเหมาจ่ายรายหัวในปี 2535
.
แต่ไม่มีครั้งใดที่ปฏิรูปแบบ ‘ครั้งเดียว’ แล้วเข้าถึงได้ทุกคน เช่น การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้
.
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในผู้ผลักดันนโยบาย ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นมาก่อนจะเป็นระบบสุขภาพถ้วนหน้า ในวันที่เริ่มตั้งพรรคการเมืองที่ชื่อ ‘ไทยรักไทย’ ว่า นี่คือความฝันของ นพ.สงวน โดยก่อนหน้านี้ นพ.สงวน ได้พยายามเอาความฝันนี้ไปพูดคุยกับพรรคการเมืองหลายพรรค แต่ไม่มีพรรคไหนเชื่อว่าจะทำให้เป็นจริงได้ แต่เมื่อ นพ.สุรพงษ์ ได้คุยกับ นพ.สงวน และเชื่อว่านี่คือ ‘ความฝันเดียวกัน’ จึงเริ่มทำข้อมูลร่วมกัน แล้วนำไปพูดคุยกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าไทยรักไทย พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่และอยู่ในช่วงลงพื้นที่และรวมรวมข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำนโยบายพรรค
.
การคุยครั้งนั้น ใช้เวลา 40 นาทีเพื่ออธิบายแนวคิด วิธีการทำ พร้อมทั้งงบประมาณที่จะครอบคลุมโครงการ ซึ่งประเมินว่าใช้มากกว่าแสนล้านบาท ใน 40 นาทีนั้น ทักษิณ ตอบตกลงและบอกว่า “ไม่น่าจะใช้เงินขนาดนั้น เติมงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขไปอีกไม่เท่าไร คิดว่าทำได้”
.
เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็ถูกจับจ้องอย่างหนักว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ไหม ? อย่างไรก็ตาม ในช่วงนำร่องและจัดการระบบ นพ.สงวน บอกว่า อาจต้องใช้เวลา 2 ปี แต่ นพ.สุรพงษ์ อยากให้สำเร็จภายในหนึ่งปี เพราะชาวบ้านกำลังรอกัน
.
“ถ้าวันนั้นรอ 2 ปี วันนี้จะไม่มีสามสิบบาท จะมีคนค้านเยอะจนไม่ได้ทำ จนไปถึงว่า ฝ่ายค้านก็ทักทุกวัน สามสิบบาทตายทุกโรค” นพ.สุรพงษ์กล่าว
.
อย่างไรก็ตาม โครงการเริ่มนำร่อง 6 จังหวัดในวันที่ 1 เมษายน 2544 ครอบคลุมทั่วประเทศภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี และออกเป็นกฎหมายรับรองในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545 จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ผ่านมาร่วม 20 ปีแล้ว
.
และเหตุที่ทำให้นโนบายและกฎหมายฉบับนี้เกิดได้จริง ก็เพราะ ณ วันนั้น เราอยู่ใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งเขียนรับรองสิทธิของ ‘บุคคล’ ว่าต้องได้รับการบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่า ต้องทั่วถึง มีประสิทธิภาพ ทั้งระบุให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนมีส่วนร่วมเท่าที่จะกระทำได้
.
จึงเป็นเหตุให้พรรคไทยรักไทยผลักดันการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทยภายใต้เจตนารมณ์และการกำกับเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ และตั้งใจว่า ‘ต้องทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว’
.
นี่ไม่ใช่แค่การทำให้คนจนไม่ต้องตายเพราะเพียงเจ็บป่วยแล้วจ่ายค่ารักษาไม่ไหว ไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนไม่ต้องขายที่ดินไร่นาเพียงเพื่อเอาเงินมารักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวที่เจ็บป่วย แต่คือการจัดการระบบสาธารณสุขครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่ในประเทศ รับรองสิทธิของประชาชนอย่างเสมอภาคต่อการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล และเข้าถึงได้โดยไม่ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี
.
และแน่นอนที่สุด การเกิดว่ายากแล้ว การคงรักษาไว้ไม่ให้ตายหรือถูกลดทอนลงไปนั้นยากยิ่งกว่า แต่หนึ่งในเหตุผลที่นโนบายนี้ยังอยู่ได้ ก็เพราะการทำกฎหมายให้ชัดเจน เขียนกำกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เช่นที่เกิดกับ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
#ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
กองทุนหมู่บ้าน
ประชาชนคิด ประชาชนใช้ และประชาชนจัดการเงินทุนตัวเอง
24 ปีที่แล้ว การเข้าถึงเงินทุนเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งสำหรับประชาชนทั่วไป การกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองในการประกอบกิจการอะไรสักอย่าง คนธรรมดาทั่วไปต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะเงื่อนไขการเข้าถึงเงินกู้ ณ วันนั้น ซับซ้อนกว่าในปัจจุบัน แม้ธุรกิจของคุณจะสร้างสรรค์เพียงใด แต่เมื่อไม่มีโอกาสเข้าถึงเงินทุน ก็ยากที่จะเริ่มต้นกิจการได้
.
แล้วจะทำอย่างไรให้คนไทย หลุดพ้นจากความยากจนได้ ?
.
เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาข้างต้น #กองทุนหมู่บ้าน จึงกลายเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศเป็นนโยบายของพรรคและใช้สู้ศึกเลือกตั้งปี 2544 และเมื่อพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างถล่มทลาย จึงเริ่มดำเนินนโยบายที่ได้ให้สัญญาประชาคมไว้กับประชาชนทันที
.
#ณวันนั้น 25 กรกฏาคม 2544 คือ วันที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานในพิธีโอนเงินกองทุนหมู่บ้านล็อตแรก 7,125 ล้านบาท หรือ 7,125 กองทุน ใน 64 จังหวัด ไปให้กับประชาชนโดยตรง
.
“วันนี้มีความสุขมากในการเข้าสู่การเมือง มีโอกาสทำงานให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง และไม่ว่ารัฐบาล ตนเอง ข้าราชการ รวมถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทุ่มเทการทำงานในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เงิน 7,000 ล้านบาท ถูกโอนไปยังหมู่บ้านกว่า 7,000 แห่ง หลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นความฝัน เพราะช่วงหาเสียงเลือกตั้งก็ถูกดูแคลนว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมมือกันเป็นอย่างดี” คือข้อความส่วนหนึ่ง ที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวกับประชาชนในวันเปิดตัวกองทุนหมู่บ้านพร้อมโอนเงินล็อตแรกไปสู่ประชาชนอย่างเป็นทางการ
.
‘กองทุนหมู่บ้าน’ เป็นนโยบายที่ดำเนินการทันทีหลัง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เงินกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทเป็นการกองทุนที่ไม่มีเงื่อนไขว่าหมู่บ้านนั้นต้องมีจำนวนครัวเรือนเท่าไหร่ สมาชิกในแต่ละครัวเรือนต้องมีเท่าไหร่ ทุกหมู่บ้านจะได้รับเงินจัดสรรเท่ากัน เพื่อใช้สำหรับหมุนเวียนในการลงทุน สร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนและครอบครัว สำคัญกว่านั้นคือแต่ละหมู่บ้านจะได้รับสิทธิในการบริหารเงินกองทุนด้วยตัวเองทุกขั้นตอน โดยคนในหมู่บ้านจะเลือกสรรคณะกรรมการมาจัดสรรกองทุนกันเอง โดยมีเพียงสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือ สทบ. เป็นหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่รับผิดชอบดูแลภาพรวมทั้งหมด
.
#ณวันนั้น ‘กองทุนหมู่บ้าน’ นอกจากจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ไขปัญหาความยากจนตามนโยบายรัฐบาลแล้ว ยังทำหน้าที่เสริมสร้างการพึ่งพาตัวเองในด้านการเรียนรู้ และพัฒนาความคิดริเริ่มต่างๆ ทั้งในการแก้ไขปัญหาหรือสรรสร้างสิ่งใหม่ๆ ผ่านกระบวนการของหมู่บ้านและชุมชนนั้นๆ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น และหลักประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน
.
การดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านปีแรก มีจังหวัดที่จัดสรรเงินแก่กองทุนหมู่บ้านที่จดทะเบียนไว้มากถึงร้อยละ 90 ผลักให้เกิดกองทุนหมู่บ้านมากถึง 66,188 กองทุน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายการสร้างแรงจูงใจ โดย 2 ปีถัดหลังจากนั้น รัฐบาลได้จัดการประเมินผลการดำเนินการของกองทุนฯ เป็นครั้งแรก แบ่งผลการดำเนินงานออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ AAA (ดี), AA (ปานกลาง) และ A (ไม่ดี) กองทุนใดที่มีผลการดำเนินงานระดับ AAA จะได้รับเงินทุนจากรัฐบาลเพิ่ม 100,000 บาท และหากบริหารงานดีอย่างต่อเนื่อง ก็จะได้สิทธิกู้ยืมต่อยอดจาก ธกส. หรือ ธนาคารออมสิน อีกด้วย
.
ปัจจุบัน กองทุนหมู่บ้านกลายเป็นโครงการสำคัญของประชาชน โดยเฉพาะการเป็นแหล่งเงินทุนให้กับชาวบ้านและชุมชนในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศเข้าขั้นวิกฤต รายงานประจำปี 2563 สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ระบุว่ามีโครงการที่ถูกดำเนินการในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น การจัดสรรงบประมาณให้กับกองทุนฯ กองทุนละ 200,000 บาท หรือ การที่ให้แต่ละกองทุนฯ เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ฯ ตามความสมัครใจ เป็นต้น
.
‘กองทุนหมู่บ้าน’ กลายเป็นหนึ่งในนโยบายสาธารณะ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบันอยู่เสมอ นับเป็นโครงการ Microfinance ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำงานโดยภาครัฐ โดยมีเป้าหมายคือ “ประชาชนคิด ประชาชนใช้ และประชาชนจัดการเงินทุนทั้งหมด” ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง
OTOP จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
สู่เครื่องมือฟื้นประเทศหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
.
“รัฐบาลจะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาสินค้า โดยรัฐพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือด้านความรู้สมัยใหม่และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้า จากชุมชนสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่ายอินเตอร์เน็ต”
.
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย สมัยแรก เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งได้บรรจุนโยบาย #OTOP เป็นหนึ่งใน 9 นโยบายเร่งด่วน
.
หนึ่งปีถัดมา รัฐบาลทักษิณได้ดำเนินนโยบายดังกล่าวตามที่ได้ให้คำมั่นไว้กับประชาชน โดยนโยบาย ‘หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์’ หรือ OTOP (One Tambon One Product) เป็นหนึ่งในเครื่องมือฟื้นฟูประเทศของรัฐบาลทักษิณ จากสถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ‘ต้มยำกุ้ง’ ที่สร้างผลกระทบกับภาคธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ด้วยการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้มั่นคงจากฐานรากด้วยธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งได้ต้นแบบมาจากนโยบาย ‘หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์’ (One Village One Product หรือ OVOP) ในจังหวัดโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ประสบความสำเร็จในการยกระดับคุณภาพสินค้า สร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น
.
รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศด้วยโจทย์ในการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก ดังนั้นการดำเนินนโยบาย OTOP จึงเริ่มต้นด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนใน 7,000 ตำบลทั่วประเทศ นำศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ของประชาชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่ให้คำแนะนำทางวิชาการเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบที่สวยงามและทันสมัย รวมถึงช่วยเหลือเรื่องแหล่งทุนในการเริ่มต้นธุรกิจจากนโยบายกองทุนหมู่บ้าน
.
สินค้า OTOP จะมีการจัดระดับของสินค้าเพื่อการพัฒนา ออกเป็น 5 ระดับ 1-5 ดาว ซึ่งระดับ 5 ดาว หมายถึงสินค้าคุณภาพสูงพร้อมสำหรับการส่งออก โดยประเมินจากหลักเกณฑ์ 7 ด้าน ทั้งความสามารถในการผลิต ความต้องการของตลาด ความสามารถในการส่งออก ความสามารถในการแข่งขัน มาตรฐานของสินค้า ความพึงพอใจของลูกค้าและที่สำคัญคือ ประวัติความเป็นมาของสินค้า ซึ่งการจัดระดับรูปแบบนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันและการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
.
สินค้า OTOP 3-5 ดาว จะถูกนำมาจัดแสดงในมหกรรมสินค้า รวมไปถึงจัดแสดงในเว็บไซต์ www.thaitambon.com ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลและเป็นช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ (ในปัจจุบันโครงการ OTOP ได้มีเว็บไซต์ OTOP TODAY https://www.otoptoday.com/index.php เป็นช่องทางซื้อขายครบวงจรซึ่งพัฒนาประสิทธิภาพมาจากเว็บไซต์ในอดีต)
.
สินค้า OTOP ได้รับการพัฒนาในเชิงภาพลักษณ์เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและเป็นการสร้างเครื่องหมายการค้าในระดับนานาชาติ ด้วยการเปลี่ยนแปลงโลโก้ จากรูปปลาตะเพียนสาน มาสู่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ OTOP ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ในความทรงจำของผู้คนจนถึงทุกวันนี้
.
การดำเนินนโยบาย ‘หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์’ ได้ทำให้สินค้าจากภูมิปัญหาชาวบ้านจำนวนมาก ที่ในอดีตทำกิน ทำใช้และค้าขายกันในท้องถิ่น ได้รับการยกระดับไปสู่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง(SMEs) หรือพัฒนากลายเป็นสินค้าส่งออกได้ในที่สุด
.
ข้อมูลยอดขายสินค้า OTOP นับตั้งแต่โครงการเริ่มในปี 2545 อยู่ที่ 16,700 ล้านบาท ขณะที่จีดีพีไทยเติบโตในปีนั้นกว่า 5-6% ปรากฎว่าในปี 2546 ขยับสูงขึ้นเป็น 33,200 ล้านบาท และก้าวขึ้นมาเกือบ 50,000 ล้านบาทในปี 2547 กระทั่งปี 2548 ยอดขายทะลุ 1 แสนล้านบาท โดย กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ชี้ว่าตลอดระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 2545 – 2560 โครงการ OTOP สร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 1.53ล้านล้านบาท
.
ในปี 2563 แม้ว่าประเทศไทยจะต้องเจอกับวิกฤตโควิด-19 แต่ยอดขายของสินค้า OTOP ยังสูงถึง 258,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า OTOP ได้สร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจฐานรากจำนวนมาก ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมแม้ต้องเผชิญกับวิกฤต
.
OTOP เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย ที่ไม่ว่าผ่านวันเวลาไปนานเท่าไร หรือจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบาย แนวคิดและประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้ ในทางกลับกันรัฐบาลในยุคต่อๆ มาต่างก็สานต่อและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นต้นแบบที่น่าศึกษาอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาล นักการเมืองและนักนโยบายรุ่นหลัง ในการคิดค้นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับชีวิตประชาชนที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและสามารถดำเนินการได้นานกว่าสองทศวรรษ
ถุงรับขวัญ ก้าวแรกพัฒนาสมองเด็กไทย
#ณวันนั้น รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ตั้งใจดูแลเด็กเล็กให้มีพัฒนาการเรียนรู้ทางสมองอย่างดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
.
หลังลงหลักเรื่องหลักประกันสุขภาพ และการพัฒนานโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศพัฒนาและเติบโต สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ให้ความสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ ‘เด็กแรกเกิด’ คือจุดเริ่มต้นการพัฒนาที่สำคัญ
.
“พัฒนาการที่ดีจะต้องมาจาก 2 ส่วน คือ พันธุกรรมที่มาจากพ่อและแม่ซึ่งมีผลต่อเด็ก และการเลี้ยงดูที่ถือเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ จะทำให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ดี มีการส่งเสริมเริ่มต้นการพัฒนาการอย่างถูกต้อง ทั้งด้านการสัมผัส การเรียนรู้ พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการสมอง ทั้งนี้ สมองของเด็กเปรียบเหมือนกับมีด หากเริ่มต้นลับที่ดี มีดก็จะมีความคม”
.
คือคำกล่าวของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในวันเปิดตัว #ถุงรับขวัญ สำหรับเด็กแรกเกิด ก้าวแรกของการพัฒนาสมองเด็กไทย วันที่ 28 กรกฎาคม 2548 นับเป็นครั้งแรกของรัฐบาลไทยที่ดำเนินนโยบายสำหรับการเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองให้มีการพัฒนาการดีที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิดทุกคน
.
‘ถุงรับขวัญ’ คือหนึ่งในโปรเจกต์ของสถาบันวิทยาการการเรียนรู้ (สวร.) ที่ต้องการ ‘พัฒนาการเรียนรู้’ ของเด็กไทยบนพื้นฐานของสมอง (Brain Based Learning) เพราะโจทย์ขณะนั้นคือ ‘ไอคิวของเด็กไทย’ ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่การพัฒนา ‘เชาวน์ปัญญา’ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบบเรียน แต่คือการพัฒนาศักยภาพสมอง และ ‘เวลาทอง’ ของพัฒนาการที่สำคัญคือช่วงปฐมวัย (0 – 7 ปี) การพัฒนาพัฒนาการทางสมองและเชาวน์ปัญญา จึงต้องทำตั้งแต่วัยนี้
.
พญ. จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ ผู้อำนวย สวร. (ตำแหน่งในขณะนั้น) จึงเสนอไอเดียกับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หารือเพื่อพัฒนาและวิจัยโครงการพัฒนาการเรียนรู้ของประชากรแต่ละช่วงวัย ตั้งใจทำทั้งในสถาบันการศึกษาและสถาบันครอบครัว แต่โปรเจกต์ที่เริ่มทำก่อนคือ ‘ถุงรับขวัญ’
.
ของรับขวัญในถุงประกอบด้วย ผ้าพัฒนาการ, ของเล่นพัฒนาการ, หนังสือนุ่มนิ่มลอยน้ำ, หนังสือสัมผัสร้องเล่นเต้นเพลิน, ซีดี/เทปกล่อมลูกชาวสยาม, หนังสือคู่มือพ่อแม่รับขวัญสมองสดใส, สติกเกอร์ถุงรับขวัญเด็กแรกเกิด และ การ์ดนายก
.
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เป็นโครงการระยะสั้น ในเวลา 1 ปี คือ 28 กรกฎาคม 2548 – 27 กรกฎาคม 2549 โดยตั้งเป้าแจก 900,000 คน ทั่วประเทศ เนื่องจากต้องการให้เป็นโปรเจกต์ทดลองและสร้างองค์ความรู้ ซึ่งช่วง 1 ปีดังกล่าวจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้ปกครองเข้าใจการกระตุ้นพัฒนาการเด็กในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต โดยกรมอนามัยจะติดตามเก็บข้อมูลพัฒนาการของเด็กๆ ที่ได้รับการกระตุ้นด้วยของเล่นใน ‘ถุงรับขวัญ’ ซึ่งพบว่ากว่า 80% มีพัฒนาการตามวัย ของเล่นที่เด็กๆ ชอบที่สุดคือ ‘โมบายช้าง’ ซึ่งช่วยกระตุ้นการมองเห็นของเด็ก รองลงมาคือ ‘หนังสือนุ่มนิ่มลอยน้ำ’ สำหรับใช้ขณะอาบน้ำ
.
‘ถุงรับขวัญ’ ไม่ใช่แค่ของแจกฟรีให้กับพ่อแม่มือใหม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ในการเห็นความสำคัญทรัพยากรมนุษย์ พร้อมสนับสนุนองค์ความรู้วิชาการและสนับสนุนการเป็นผู้ปกครองมือใหม่ให้ประชาชน
.
ในภาพใหญ่ของการพัฒนาองค์ความรู้ในประเทศเรื่อง ‘การจัดการเรียนรู้บนฐานของสมอง’ ยังมีการเขียนหนังสือเรื่อง ‘เด็กไทยใครว่าโง่…เปลี่ยนการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ทันโลก’ โดย ดร.ทักษิณ ชินวัตร , พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ และ พรพิไล เลิศวิชา ย้ำทัศนคติเรื่องความคิดเชิงบวกเกี่ยวกับการจัดการศึกษา และความสำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน
.
รัฐบาล คือหนึ่งในหน่วยงานสำคัญในการสนับสนุน สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ และใช้ทุกสรรพกำลังเพื่อพัฒนาคุณภาพประชากร กำลังหลักของประเทศในอนาคตต่อไป
#ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
หวยบนดิน ตัดวงจรเงินมืด
สู่การทำสาธารณะประโยชน์และทุนการศึกษา
หวยอยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 200 ปี โดยจุดเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรมคือ มีการตั้งโรงหวยขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนเอาเงินที่ฝังไว้ในดินออกมาใช้ แล้ววัฒนธรรมหวยก็มีพัฒนาการต่อเนื่องมาทุกยุคทุกสมัย ‘จากโรงหวยสู่กองสลาก’
.
จนเมื่อปี 2544 ที่มีการสำรวจของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พบว่าคนไทยอายุเกิน 15 ปีเล่นการพนันชนิดหวยกว่า 23.7 ล้านคน หรือประมาณ 51 เปอร์เซ็นต์ของประชากร แปลว่า คนครึ่งหนึ่งของประเทศเล่นหวย
.
โดยหวยในที่นี้หมายถึงหวยสองประเภท ทั้ง ‘สลากกินแบ่งรัฐบาล’ และ ‘หวยใต้ดิน’ ยังมีข้อมูลระบุว่านักเสี่ยงโชคจะเล่นหวยทั้งสองประเภทด้วยจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกัน
.
หมายความว่า ถ้ารายได้กองสลากอยู่ที่หลักหมื่นล้าน เงินไหลเวียนที่อยู่ในธุรกิจหวยใต้ดินคงมีจำนวนไม่ต่างกัน ซึ่งคือเงินผิดกฎหมาย
.
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จึงริเริ่มนโยบาย ‘หวยบนดิน’ จุดประสงค์เพื่อนำเงินผิดกฎหมายจากหวยใต้ดินมาอยู่บนดิน ตัดวงจรเงินมืด ล้างบางกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังหวย และนำรายได้ไปสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ ผ่านหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน (ODOS)
.
#ณวันนั้น 1 สิงหาคม 2546 เป็นวันที่มีการออกรางวัลสลาก ‘หวยบนดิน’ งวดแรก หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดำเนินการจำหน่ายสลากแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัวเพิ่มเติม จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งแบบเดิม ซึ่งเป็นสลากรัฐบาลในราคาที่ย่อมเยา โดยประเภทของสลาก แบ่งเป็น
.
สลากชนิดราคา 20 บาท มีสีเขียวเหมือนธนบัตร 20 บาท
สลากชนิดราคา 50 บาท มีสีฟ้าเหมือนธนบัตร 50 บาท
สลากชนิดราคา 100 บาท มีสีแดงเหมือนธนบัตร 100 บาท
.
รางวัลสลากแบ่งออกเป็น 3 ตัวตรง , 3 ตัวโต๊ด , 2 ตัวบน , 2 ตัวล่าง ผู้ซื้อสามารถเลือกหมายเลขใดก็ได้กรอกลงในช่อง ภายในสลากจะมีการกรอกชื่อผู้ขายเพื่อการตรวจสอบ ส่วนการออกเลขรางวัลนั้นใช้หมายเลขเดียวกันกับสลากกินแบ่งรัฐบาล เรียกได้ว่าเหมือนหวยใต้ดินทุกประการแต่ถูกกฎหมายและมีรัฐบาลเป็นเจ้ามือ
.
‘หวยบนดิน’ เป็นหนึ่งนโยบายที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการนำความต้องการของประชาชนมาสร้างเป็นนโยบายอย่างแท้จริง ผู้ซื้อหวยส่วนใหญ่ไม่มีใครซื้อเพื่อหวังเงินรางวัลที่ 1-5 แต่หวังรางวัลเลขท้าย 2 ตัว หรือเลขท้าย 3 ตัวมากกว่า แต่กลับต้องซื้อในราคา 80-100 บาท(สลากเกินราคา) เพื่อลุ้นให้ถูกรางวัล
.
ในขณะที่หวยบนดิน ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับหวยใต้ดิน คือการขายสลากในราคา 20-100 บาท เพื่อลุ้นรางวัล ทำให้ผู้นิยมเสี่ยงโชคกับหวยสามารถบริหารความเสี่ยงของตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยราคาที่ถูกลง หรือจะเรียกได้ว่าเป็นความเสี่ยงที่ยุติธรรมมากขึ้น และการเล่นหวยบนดินกับรัฐบาลมีความเสี่ยงน้อยกว่าเจ้ามือใต้ดินแน่นอน ทั้งถูกกฎหมาย ไม่อั้น ไม่จ่ายครึ่งราคา ไม่หนีและจ่ายแน่นอน ที่สำคัญเงินหวยตรงนี้ยังนำกลับไปพัฒนาประเทศอีกด้วย
.
หลักฐานเชิงประจักษ์ว่านโยบาย ‘หวยบนดิน’ ประสบความสำเร็จคือรายได้ของสำนักงานสลากฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่มีการจำหน่ายหวยบนดิน ปี 2546 – 2549
ปี 2546 มีรายได้รวม 36,692 ล้านบาท
ปี 2547 มีรายได้รวม 76,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน 108%
ปี 2548 มีรายได้รวม 82,718 ล้านบาท
ปี 2549 มีรายได้รวม 92,764 ล้านบาท
.
จากข้อมูลของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในการศึกษา “พฤติกรรมการบริโภคหวยใต้ดิน – หวยบนดินของไทย (2549) ” พบว่า นโยบายหวยบนดินส่งผลให้จำนวนของผู้เล่นหวยมีเท่าเดิม แต่กลับเลือกที่จะเล่นหวยใต้ดินน้อยลง
.
โดยกลุ่มตัวอย่างผู้ซื้อหวยส่วนใหญ่ 44.1% ให้ข้อมูลว่าซื้อหวยใต้ดินลดลง โดยมีเหตุผลคือ หวยใต้ดินหาซื้อยาก, กลัวผิดกฎหมาย, ต้องการถูกรางวัลแจ็กพอต และกลัวเจ้ามือเบี้ยว เหลือเพียง 26.1 % ที่ยังซื้อหวยใต้ดินอยู่ นั้นหมายความว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ของกองสลากเป็นการนำเงินใต้ดินขึ้นมาบนดินตามชื่อของนโยบาย
.
แต่ใช่ว่านโยบายหวยบนดินจะมีแต่ข้อดีและการสรรเสริญเยินยอ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากมุมมองทางศีลธรรมคัดค้านด้วยข้อหา “มอมเมา” และกลัวว่าจะนำเงินที่ได้จากนโยบายเงินสีเทานี้ไปใช้ผิดทาง
.
หวยบนดินออกรางวัลทั้งสิ้น 80 งวด โดยงวดสุดท้ายคือวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 หลังจากเกิดรัฐประหาร พ.ศ. 2549 โดย รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ สั่งยกเลิกและได้ให้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ตั้งโดยคณะรัฐประหารเข้ามาตรวจสอบโครงการดังกล่าว ก่อนจะส่งต่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ
.
เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาว่า การออกหวยบนดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 4 และมาตรา 13 ให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 23 และมาตรา 27 แก่คณะรัฐมนตรีชุด พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะกรรมการสลากฯ ในสมัยนั้น รวม 47 คน
.
ในวันที่ 6 มิ.ย. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุก 2 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในคดีดังกล่าวเนื่องจากสร้างความเสียหาย ไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์การออกสลาก เป็นไปลักษณะเดียวกับหวยใต้ดิน และมอมเมาประชาชน
.
โดยประเด็นที่ชี้ถูกชี้ผิดของเรื่องนี้คือ การออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว (หวยบนดิน) มีลักษณะเป็นสลาก ‘กินรวบ’ ที่อาจทำให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมีโอกาสขาดทุน เพราะเป็นการจำหน่ายสลากตามความต้องการของผู้ซื้อ ไม่มีจำกัดวงเงินในการเล่น ไม่จำกัดวงเงินรางวัลที่จะจ่าย ความแตกต่างจากสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศลที่เคยออกมา ประเด็นนี้ถูกมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อกระทรวงการคลังให้ได้รับความเสียหายได้ มติของคณะรัฐมนตรีที่ให้ออกสลากพิเศษเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว จึงไม่เป็นไปตามกรอบวัตถุประสงค์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 5 และมาตรา 9
.
และนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อกล่าวอ้างว่ามีการเร่งรัดให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลดำเนินการตามนโยบายการออกสลากพิเศษเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว แต่มีบุคคลหลายคนมีหนังสือทักท้วงจำเลยที่ 1 ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
.
ตลอด 19 ปี ที่ไม่มีหวยบนดินตั้งแต่ปี 2549 ส่งผลให้ทุกวันนี้เจ้ามือหวยใต้ดินได้ประโยชน์มหาศาล อิทธิพลมืดยิ่งเบ่งบาน เพราะทุกอย่างถูกกวาดเก็บอยู่ใต้โต๊ะ ไม่มีการทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีการตรวจสอบเพื่อการจัดเก็บภาษี การจัดทำหวยใต้ดินโดยรัฐบาลถูกตัดสินว่าเป็นสิ่งมอมเมา ในขณะที่การทำหวยใต้ดินโดยเจ้ามือหวยยังคงดำเนินต่อไปโดยไร้การตรวจสอบ
#ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน
ไม่ควรมีใครต้องยอมเรียนไกลบ้าน เพียงเพราะอยากจะพัฒนาตัวเอง
“ไม่ใช่ทุกคนจากทั่วประเทศ จะวิ่งเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เซนต์คาเบรียล หรือเตรียมอุดมศึกษาได้ แต่ต้องให้ทุกอำเภอมีโรงเรียนดีๆ ไม่เช่นนั้น ประเทศไทยซึ่งมี 2 สังคม จะกลายเป็นวัฎจักรที่แยกกัน และนับวันจะเป็นสังคมที่ห่างกันออกไปเรื่อยๆ จึงต้องพยายามลดช่องว่างให้เหลือสังคมเดียวให้เร็วที่สุด”
.
คำกล่าวของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ 25 กันยายน ปี 2546 วันเปิดตัวโครงการ #หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน (Lab School Project) ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
.
เป็นการพูดที่ชัดว่าการศึกษาต้องถูกบริการให้ทั่วถึง มีคุณภาพ เด็กต่างจังหวัดต้องมีโอกาสเรียนโรงเรียน “ใกล้บ้าน” ที่มีคุณภาพ ผ่านการสอนจากครูคุณภาพ และด้วยสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ไม่ควรมีใครต้องยอมไกลบ้านเพื่อไปแข่งขันแย่งเก้าอี้การศึกษาที่มีจำกัด เพียงอยากจะพัฒนาตัวเอง และเมื่อประชาชนถูกติดอาวุธทางปัญญา ความเหลื่อมล้ำและความยากจนของคนไทยก็จะหดแคบลง
.
#ณวันนั้น โครงการหนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน รุ่นที่ 1 มีโรงเรียนเข้าร่วม 921 แห่ง โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นเจ้าภาพหลักขับเคลื่อนนโยบาย ใต้ปรัชญาโครงการคือ “ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นบุคคลเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง รู้จักคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง มีความเป็นไทยและดำรงชีวิตอย่างมีความสุข”
.
หลังรัฐบาลทักษิณถูกรัฐประหารในปี 2549 ส่งผลให้โครงการชะงักงัน เกิดความสับสนต่อโรงเรียน ชุมชน และผู้ปฏิบัติงาน ว่าจะเดินหน้าโครงการต่อหรือไม่เพราะเป็นโครงการของรัฐบาลชุดเดิม แต่เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อ มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการโรงเรียนดีใกล้บ้าน” และต่อมาในปี 2552 ใต้การนำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โครงการถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนดีประจำอำเภอ” จากนั้นจึงกลับมาเป็น “โรงเรียนดีใกล้บ้าน” และ “โรงเรียนประชารัฐ” ในรัฐบาลปัจจุบัน
#ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ
TCDC พัฒนาเศรษฐกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์
สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญคือการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก เน้นให้รายย่อยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก นำมาสู่ 2 นโยบายโบว์แดง นั่น คือ นโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งทำให้รู้ว่าการกำหนดนโยบายนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่ขาดไปในสมการนี้คือองค์ความรู้ในการเพิ่มมูลค่า
.
ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทุนใหญ่จะได้เปรียบเรื่องต้นทุน การควบคุม คุณภาพ ความทั่วถึง ปริมาณการผลิต แน่นอนว่าทุนรายย่อยไม่มีทางแข่งขันได้ในสนามเดียวกัน แต่อย่าลืมว่า ไม่ใช่ทุกตลาดที่ต้องการสินค้าจากโรงงานในรูปแบบเดียวกัน ในทุกยุคทุกสมัยยังต้องการสินค้าที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นไม่ซ้ำใคร มีเรื่องราวที่น่าจดจำอยู่เสมอ
.
สิ่งที่รายย่อยต้องพัฒนาคือการเสริมศักยภาพด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า (Value Added) สร้างแบรนด์ สร้างเสน่ห์ สร้างเรื่องราว เพื่อให้แข่งขันได้
.
นั่นจึงทำให้ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ หัวเรือใหญ่ ริเริ่ม “สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้: สบร.” หรือ Office of Knowledge Management and Development: OKMD ซึ่งสังกัดอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) โดยมีหน่วยงานภายใต้หลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์ออกแบบ (TCDC), สถาบันวิทยาการการเรียนรู้, อุทยานการเรียนรู้ (TK Park), สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เป็น โดยหน่วยงานทั้งหมดมีเป้าหมายในการสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ที่มากกว่าในหลักสูตรการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
.
14 พฤศจิกายน 2548 #ณวันนั้น สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ หรือ TCDC (Thailand Creative & Design Center) ได้ออกสู่สายตาของประชาชนเป็นครั้งแรก บริเวณชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรี่ยม ภายใต้แนวคิดว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนา ผลงานการออกแบบไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจาก รากฐานทางวัฒนธรรมและการสั่งสมทางปัญญาของสังคม โดยสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงองค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ ท้ายที่สุดและความคิดสร้างสรรค์จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยไปถึงระดับฐานราก จนเกิด ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ (Creative Economy)
.
กลยุทธ์การออกแบบเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่หลายประเทศทั่วโลกได้ดำเนินการเอาไว้แล้วเช่น อังกฤษมี Design Council ประสานงานให้ผู้ประกอบการเห็นความสำคัญของงานออกแบบ เกาหลีใต้ทำแผนส่งเสริมการออกเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ปี 2536 – 2546 หรือ อินเดียมีนโยบายการออกแบบแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศเป็นแหล่งออกแบบและมีผู้ผลิตที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งสำหรับไทย TCDC คือสิ่งนั้น
.
ภายใน TCDC มีบริการห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบที่รวบรวมหนังสือไว้มากมาย โดยหนังสือหายากราคาแพงที่นักศึกษาหรือประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยากให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ฟรี มีกิจกรรมต่างๆ ที่สนับสนุนให้เกิดการพบปะกันของนักออกแบบหลายสาขา ไปจนถึงการให้คำปรึกษาในการออกแบบสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนาแบรนด์
.
โดยสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดคือ นิทรรศการที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามวาระและโอกาส นำเสนอวิธีคิดสร้างสรรค์ในหลายรูปแบบจากทั่วทุกมุมโลก
.
TCDC ได้รับคำชื่นชมอย่างมากในบทบาทการเป็นองค์ความรู้ด้านการคิดอย่างสร้างสรรค์ที่ทรงพลังสำหรับประเทศไทย เพราะสามารถบ่มเพาะแรงบันดาลใจให้ประชาชน ให้ผู้ประกอบการ ให้นักศึกษา สามารถสร้างความเชื่อมโยงองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้
.
แต่ในขณะเดียวกัน TCDC ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่าของงบประมาณและความเหมาะสม โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อนิทรรศการจากต่างชาติมาด้วยเช่นกันว่าเป็นการกระทำที่มักง่ายเกินไปหรือไม่
.
อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหลายนโยบายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลังจากการรัฐประหาร 2549 คณะรัฐประหารได้เข้ามาตรวจสอบ หน่วยงานภาครัฐและโครงการขนาดใหญ่ แน่นอนว่า OKMD ที่มี TCDC อยู่ในนั้นด้วยก็ถูกตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ยุบคณะกรรมาธิการ ซึ่งทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนต้นเกิดการเปลี่ยนแปลง
.
โดยหนึ่งในเหตุที่อ้างตรวจสอบ คือ หน่วยงานเหล่านี้ ใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง “เกินกว่าเหตุ” โดยงบประมาณก้อนใหญ่ที่สุด คืองบเงินเดือนและค่าบริหารจัดการ เช่น เงินเดือนผู้บริหารที่อัตราสูงมาก ค่าบริหารจัดการ ค่าสถานที่ ถูกตั้งข้อสงสัยถึงความโปรงใสและคุ้มค่า
.
จนเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 หลังรัฐประหาร 2557 เป็นอีกครั้งที่มีความพยายามยุบหน่วยงานนี้ โดยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีคำสั่งให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประเมินผลงานบุคลากร และทบทวนการใช้งบประมาณของ OKMD, TCDC, TK Park และมิวเซียมสยาม ภายใน 3 เดือน ว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากไม่จะยุบหน่วยงานทั้งหมดลง
.
การกระทำดังกล่าว ส่งผลให้ในโลกโซเชียลฯ แสดงความไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะ 4 หน่วยงานมีคุณประโยชน์ และถ้าถูกยุบจะทำให้ความรู้ของหน่วยงานที่สะสมมาถูกทำลายไป เพียงเพราะความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองเป็นสำคัญ
.
จากจุดเริ่มต้นถึงปัจจุบัน ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ได้สานต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยกระดับสู่ #THACCA การทำนโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ครั้งใหญ่ของไทย
การเดินทางมาตลอด 16 ปี ของ TCDC นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตามสถานการณ์ที่ผกผันของการเมืองไทย หากประเมินกันตามตรง เป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้น ยังห่างไกลกับคำว่าสำเร็จ เพราะการบ่มเพาะวิธีคิดย่อมต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง และที่สำคัญความคิดสร้างสรรค์ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลเผด็จการที่ปิดกั้นความคิดของประชาชน แต่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะอย่างไรพรุ่งนี้ย่อมมาถึง ในวันข้างหน้าเราทุกคนจะมีชีวิตใหม่
คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร
เด็กไทยเข้าถึงความรู้ ท่องโลกกว้างเพียงปลายนิ้ว
การออกแบบนโยบายให้คอมพิวเตอร์ถูกลง-ซื้อได้ง่าย
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 22 ปีก่อน ที่โลกตื่นตัวกับคำว่า ‘โลกาภิวัฒน์’ และการเชื่อมโยงโลกด้วยเทคโนโลยีกำลังทลายเส้นแบ่งพรมแดน นำไปสู่การเคลื่อนไหวของความรู้และเศรษฐกิจครั้งสำคัญ แต่ #ณวันนั้น เครื่องมือสำคัญอย่าง ‘คอมพิวเตอร์’ กลับกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนยากจะเอื้อมถึงด้วยเงื่อนไขเรื่องราคา
.
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยราคาที่จับต้องได้ และผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีในวงกว้าง โดยเฉพาะในหมู่นักเรียน นักศึกษาที่จะได้มีอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นวงจรการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงในประเทศ หลังรัฐบาลไทยรักไทย เข้ามาบริหารประเทศ จึงมีการดำเนินโครงการ “คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร” ราคาถูกสำหรับประชาชน
.
โครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร รับผิดชอบดำเนินการโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่มี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ ‘หมอเลี้ยบ’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เบื้องต้นมีแนวคิดที่จะขายเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาถูกจำนวน 1 แสนเครื่อง ซึ่งต่อมาในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2546 ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เห็นควรผลักดันให้ประชาชนเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ในราคาถูกและขยายวงกว้างขึ้นกว่าเดิม จึงสั่งการในที่ประชุม ครม. มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีขยายโครงการตั้งเป้าไกลขึ้นกว่าเดิม เป็นจำนวน 1 ล้านเครื่องภายในเวลา 1 ปีครึ่ง
.
โครงการนี้ทำให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์พีซีได้ในราคา 10,900 บาทต่อเครื่อง และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ในที่ราคา 19,000 บาทต่อเครื่อง และประชาชนสามารถผ่อนกับธนาคารได้เดือนละ 500 บาท โดยเฟสแรกได้วางกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มพนักงานข้าราชการและครอบครัวทั่วไป
.
แม้จะเป็นโครงการที่ดี ท้าทายการเปลี่ยนแปลงประเทศ ขณะนั้นประเมินกันว่าหากทำได้จริงนั่นคือการเข้าถึงความรู้เพียงปลายนิ้ว แต่แรงเสียดทานและคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับโครงการก็มีไม่น้อยเช่นกัน โดยมีความพยายามที่จะขยายความว่าเป็นการทุบราคาตลาดคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่อย่างเด็ดขาดและดึงตลาดไปที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว หรือการระบุว่า เป้าหมายที่ต้องขายคอมพิวเตอร์ให้ได้ 1 ล้านเครื่องทั้งที่ขณะนั้นยอดขายในตลาดต่อปีขายได้เพียง 7 – 8 แสนเครื่องเท่านั้น…เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไม่ได้
.
หลายคนยังจำได้ เฟสแรกประสบปัญหามากมายทั้งเรื่องการเข้าประมูลของแบรนด์คอมพิวเตอร์ สเปกคอมพ์ที่น่าผิดหวัง การต่อคิวจองกับไปรษณีย์ไทยซึ่งขณะนั้นถือเป็นงานใหม่และท้าทายของไปรษณีย์ไทยเช่นกัน การขอสินเชื่อ การส่งมอบที่ล่าช้า แม้กระทั่งสื่อมวลชนจำนวนมากในขณะนั้นก็ระบุว่าเป็นนโยบายที่ไม่คุ้มค่า แรงเสียดทั้งหลายกลับกลายเป็นการจุดประกายไฟให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เดินหน้าโครงการนี้ต่อด้วยความความมั่นคง
.
ท่ามกลางสารพัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ “โครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร” กลับได้รับการตอบรับที่ดีมากจากประชาชน จนเกิดปรากฎการณ์ต่อคิวซื้อ ซึ่งต่อมาได้พัฒนา ปรับแก้ปัญหาและขยายโครงการครอบคลุมประชากรมากขึ้นตั้งแต่ข้าราชการ ครอบครัว โรงเรียน ธุรกิจเอสเอ็มอี และต่อยอดมาสู่โครงการ ‘เครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่’ และ ‘คอมพิวเตอร์เพื่อน้องเล็ก’ ในปี 2547
.
“ปัจจุบันเรามีโรงเรียนอยู่ทั้งหมดกว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งยังมีโรงเรียนที่ขาดแคลนเครื่องคอมพิวเตอร์เอาไว้ใช้ในการเรียนการสอนอยู่อีกมากกว่า 30,000 แห่ง และคอมพิวเตอร์ที่ได้มาจากโครงการนี้ กระทรวงไอซีทีจะนำไปมอบให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนให้ได้แห่งละ 22 เครื่อง ซึ่งจะทำให้มีโรงเรียนประมาณ 4,500 แห่ง เฉลี่ยกระจายทั่วประเทศ ที่จะมีศูนย์ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เอาไว้ใช้ในการเรียนการสอนได้ เป็นการช่วยให้น้องเล็กของเรา คือเด็กๆ ที่อยู่ในชนบทไกลๆ ที่ขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยี ได้มีโอกาสเรียนรู้และสัมผัสนวัตกรรมด้วย” น.พ.สุรพงษ์ กล่าวถึงโครงการ ‘เครื่องเก่าแลกใหม่’ และ ‘คอมพิวเตอร์เพื่อน้องเล็ก’ ในปี 2547
.
22 ปีต่อมา วันที่เราอยู่ในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาสู่การรับรู้ข่าวสารได้เพียงปลายนิ้ว อาจทำให้ลืมหรือจินตนาการไม่ออกว่า ครั้งหนึ่ง…การทำให้คอมพิวเตอร์ราคาถูกลงและออกแบบระบบให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ก็คือหนึ่งในการต่อสู้เชิงนโยบาย หนึ่งในหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนเช่นเดียวกัน
.
#ณวันนั้น #19ปีรัฐประหาร19กันยา
พักชำระหนี้เกษตรกร หลังวิกฤตเศรษฐกิจ
ให้ประชาชนนำเงินก้อนนี้ไปฟื้นฟูตนเอง ปรับปรุงการผลิตต่อไป
แม้ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่สังคมอุตสาหกรรมและสังคมบริการ คนไทยที่เป็นเกษตรกรในปัจจุบันก็มีจำนวนประมาณ 25 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 38 ของประชากรทั้งหมด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเกษตรกรแทบทุกครอบครัวเป็นหนี้ในอัตราที่สูงมาก ต่อให้เกษตรกรจะผลิตรายได้ให้ประเทศร้อยละ 8 ของ GDP ก็ตาม
ดร.ทักษิณมองเห็นว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นหนี้เพราะกู้ยืมเงินมาทำการผลิตแต่ละฤดู ครัวเรือนเกษตรที่มีหนี้ในปี 2541 และ 2546 สูงถึงร้อยละ 54.9 และ 60.4 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรมีหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือหนี้นอกระบบก็ตาม
ด้วยความตระหนักว่าประเทศไทยในปี 2544 เพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจที่สถาบันการเงินปิดกิจการกว่า 50 แห่ง และค่าเงินบาทอ่อนตัวถึงขั้นประเทศใกล้ล้มละลาย ดร.ทักษิณ มองเห็นว่าเกษตรกรจะเผชิญปัญหาความไม่สามารถชำระหนี้รุนแรงกว่าคนกลุ่มอื่นขึ้นไปอีก รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายพักหนี้เกษตรกรขึ้นมาทันที เป้าหมายของโครงการพักหนี้คือลดภาระหนี้เกษตรกรรายย่อย 3 ปี หัวใจของนโยบายนี้คือการลดภาระดอกเบี้ยของเกษตรกรรายย่อยยามที่การทำมาหากินฝืดเคือง, รายได้ประชาชนระดับฐานรากเท่าเดิมหรือลดลง , ราคาพืชผลตกต่ำผันผวน ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนนำเงินก้อนนี้ไปฟื้นฟูตนเองและปรับปรุงการผลิตต่อไป
คุณภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2544 เล่าถึงมุมมองในขณะที่เริ่มผลักดันโครงการพักหนี้เกษตรกรเป็นเวลา 3 ปี เอาไว้ว่า
“คนจนมักลำบาก จะทำอะไรก็ยาก กว่าจะหาเงินมาได้ก็ต้องจ่ายหนี้ ถ้าไม่เอาเงินมาจ่ายหนี้ เขาอยู่ได้ คนมันติดขัด ป่วยทีเวลาไปหาหมอต้องนอนลากแล้วถึงจะไป ไปครั้งหนึ่งเงินรายวันเขาก็หายไป ถ้าเราพักชำระหนี้ เกษตรกรก็มีเงินหมุน 3 ปี ให้เขามีเงิน เปรียบเหมือนคุณรดน้ำต้นไม้ ต้องรดที่ราก รากก็ดูดไปทุกส่วน ไม่ใช่รดที่ใบ เอาไปใช้อะไรไม่ได้”
ทุกวันนี้พูดกันมากเรื่องรัฐบาลจัดงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจโต แต่ในปี 2544 รัฐบาลดร.ทักษิณ จัดงบแบบขาดดุลที่บูรณาการเรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจรากหญ้ากับการเติบโตของประเทศ เพราะโครงการพักหนี้ทำให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.) ส่งรายได้จากดอกเบี้ยเกษตรกรสู่รัฐน้อยลง
ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโจมตีว่าโครงการพักชำระหนี้จะทำให้ธกส.ล้มละลาย แต่ที่จริงดร.ทักษิณ กำหนดให้รัฐจ่ายดอกเบี้ยให้ ธกส.เป็นเวลาสามปีแทนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้ทั้งหมด หรือเท่ากับรัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยแทนเกษตรกรทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบการอุดหนุนคนกลุ่มอื่นในสังคม โครงการพักชำระหนี้เป็นนโยบายรัฐที่มีลักษณะนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสังคม หลังจาก ดร.ทักษิณ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงสองเดือน ความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจรากหญ้าควบคู่ไปการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศก็ทำให้รัฐบาลประกาศนโยบายนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 26 มีนาคม 2544 ภายใต้หลักการของโครงการพักหนี้เกษตรกร ชาวนาชาวไร่ที่กู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐอย่าง ธกส.ไม่เกิน 1 แสนบาท ไม่ต้องจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2544 – 31 มี.ค. 2547
ตอนนั้นเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. มี 2,263,083 คน มีหนี้สินรวม 75,031 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วเกษตรกรแต่ละคนมีหนี้สินเฉลี่ย 65,000 บาท มีเกษตรกรเข้าโครงการพักชำระหนี้ 1,153,613 คน ลดภาระหนี้ได้ 1,109,470 คน ที่เหลือคือกลุ่มคนที่มีหนี้เกิน 1 แสนบาทไม่เข้าเกณฑ์ของโครงการ มองในระดับภาพรวม โครงการพักหนี้เกษตรกรคือมาตรการการคลังที่รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยจากธนาคารรัฐแทนเกษตรกร ผลลัพธ์ที่ได้คือเกษตรในโครงการใช้โอกาสนี้ไปปรับปรุงการผลิต ฟื้นฟูฐานะทางการเงิน และหาทางพัฒนาอาชีพได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง
ภายใต้โครงการพักชำระหนี้และมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของพรรคไทยรักไทย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยซึ่งเคยอยู่ที่ 1.5% ในปี 2544 ก็ขยับขึ้นมาเป็น 5.4 % ในปี 2545 และพุ่งสูงขึ้นเป็น 6.7% ในปี 2546 หรือเท่ากับเป็นทิศทางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่องสามปีรวดซึ่งไม่มีแล้วในปัจจุบัน
โครงการพักชำระหนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Dual Track Policy ซึ่ง ดร.ทักษิณเห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจรากหญ้ากับการเจริญเติบโตของประเทศเป็นเรื่องเดียวกัน คำขวัญของพรรคไทยรักไทยเรื่อง “ลดรายจ่าย เพื่มรายได้ ขยายโอกาส” สะท้อนปรัชญานี้ซึ่งที่สุดกลายเป็นนโยบายรัฐที่เป็นเอกภาพอย่างชัดเจน
บทเรียนจากโครงการพักชำระหนี้คือการขาดดุลทางการคลังเป็นเรื่องธรรมดา แต่เป้าหมายของการขาดดุลนั้นควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่และประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ผู้บริหารนโยบายต้องทำให้การขาดดุลมีผลต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ขาดดุลที่รัฐสูญเสียรายได้โดยประเทศไม่ได้อะไรกลับมา
ที่มา: https://www.thaksinofficial.com/debt-suspension-increase-revenue/
มหกรรมสุราไทย-สุราชุมชน
เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อย ผลิตและจำหน่ายสุราพื้นเมือง
ปี 2544 รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน หนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมให้มีการผลิตสุราแช่ชนิดสุราผลไม้ สุราแช่พื้นเมือง และ สุรากลั่น ซึ่งล้วนแต่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยมีข้อกำหนดว่า สุรากลั่นชุมชนต้องมีแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 15 ดีกรี ถึง 40 ดีกรี ส่วนสุราแช่ต้องไม่เกิน 15 ดีกรี
.
ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อย สามารถผลิตและจำหน่ายสุราพื้นเมือง ส่งผลให้มีโรงงานสุราเกิดขึ้นจำนวนมากในชุมชนต่างๆ ตามมาด้วย ผลิตภัณฑ์สุรา ทั้งสุราแช่ สุราหมัก ไวน์ และอื่นๆ ติดป้าย “ผลิตภัณฑ์ชุมชน” ผลิตออกมาวางขายกันอย่างครึกครื้น จนอาจเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีนโยบาย ‘สุราเสรี’
.
#ณวันนั้น รัฐบาลไทยรักไทย ได้จัดงาน “มหกรรมสุราไทย” ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 6-10 กันยายน 2545 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคสุราไทย รวบรวมองค์ความรู้และพัฒนาการผลิตสุราแช่ให้มีมาตรฐาน รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้สุราไทยเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยมีการออกร้านรวบรวมสุราไทยไว้หลายประเภททั้ง ไวน์ผลไม้ไทย เหล้าอุ เหล้ากลั่น และยังมีการประกวดบรรจุภัณฑ์สุราอีกด้วย
.
นโยบายการเปิดเสรีสุรานี้ เกิดจากการกดดันของเกษตรกรในภาคเหนือและอีสาน ให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อรองรับการผลิตสุราพื้นบ้าน หรือ ‘สุราเถื่อน’ ให้ถูกกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตรทั้ง ข้าว ผลไม้ท้องถิ่น มะม่วง ลำไย มังคุด ลิ้นจี่ สัปปะรด ให้มีมูลค่าสูงขึ้น
.
พร้อมไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาตกต่ำมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเน้นการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจจากฐานราก รวมไปถึงลดการขาดดุลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ลดสุรานำเข้า เพื่อสนับสนุนให้คนไทย นิยมของไทย ดื่มของไทย กันมากขึ้น
.
นอกจากนโยบายด้านการประชาสัมพันธ์ ยังดำเนินการด้านกฎหมาย ทั้งประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องวิธีการบริหารงานสุรา พ.ศ. 2546 (ฉบับที่ 4) และ ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการอนุญาตให้ทำสุรากลั่น ชุมชน พ.ศ. 2546
.
ทำให้มีการผ่อนปรนกฏระเบียบต่างๆ ในการขอใบอนุญาตการผลิตและการจำหน่ายสุรา โดยผู้ขออนุญาตต้องเป็นสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร นิติบุคคล และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งทำให้การเริ่มธุรกิจผลิตสุราไทยเป็นเรื่องง่าย เข้าถึงประชาชนทุกคน
.
มีการประเมินว่าหากนโยบายสุราหมักแช่เสรีนี้ไม่ถูกขัดขวาง ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมสุราเคียงข้างญี่ปุ่น เพราะมีพื้นฐานจากการเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีผลผลิตทางการเกษตรหลากหลาย ทั้งผลไม้นานาชนิด มีวัตถุดิบน้ำตาลหลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบในการผลิตสุราที่ดีแทบทั้งสิ้น
.
ทั้งนี้ยังไม่รวมภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยในการผลิตสุรา หากอุตสาหกรรมสุราได้รับการสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม การขยายไปสู่อุตสาหกรรมสุราอื่นๆ เช่น เบียร์ แม้ไม่ใช่ภูมิปัญญาดั้งเดิมก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากถึงจุดนั้นประเทศไทยคงไม่ต้องประสบปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำเช่นทุกวันนี้
.
แต่หลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 นโยบายสุราเสรีหนึ่งขาของนโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนต้องสะดุดลง เมื่อรัฐบาลหลายสมัยหลังจากนั้นไม่ได้ให้การสนับสนุนสุราไทย เช่น ออกกฎหมายกีดกันในเรื่องของมาตรฐานการผลิต ความปลอดภัยของผู้บริโภค ความปลอดภัยของชุมชนในกรณีน้ำเสีย หรือออกเงื่อนไขที่ยากลำบากในการเริ่มธุรกิจสุราของผู้ประกอบการรายเล็ก
.
ล่าสุด หลังจากการต่อสู้มาอย่างยาวนาน กฎหมายสุราเสรี ก็ได้ประกาศใช้แล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเหตุผลในการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ คือ มาตรา 153 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์จะผลิตสุราหรือมีเครื่องกลั่นสำหรับผลิตสุราไว้ในครอบครองให้ยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดีกรมสรรพสามิต และการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
.
สามารถดาวน์โหลดกฎหมายฉบับเต็มได้ที่ https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/67082.pdf
บ้านเอื้ออาทร
ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านหลังแรก
ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาค
โครงการ “บ้านเอื้ออาทร” เริ่มต้นขึ้นจากแนวคิดของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2546 สมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสมีบ้านเป็นของตนเอง เป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมไทย โดยตั้งเป้าสร้างบ้านเอื้ออาทรให้ได้ 1 ล้านหลัง
เพราะการมีบ้านคือต้นทางสำคัญที่ทำให้สังคมเข้มแข็ง เห็นได้จากชาวบ้านชุมชนโพธิ์เสด็จ จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้รับโอกาสจากโครงการบ้านเอื้ออาทรที่การเคหะแห่งชาติจัดสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อยใน จ.นครศรีธรรมราช ได้เข้าอยู่เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2553 ถือเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งมากแห่งหนึ่ง ความสุขจากการมีบ้านในสภาพแวดล้อมที่ดี ครอบครัว ได้อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ส่งผลให้ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่เข้มแข็งน่าอยู่ สมาชิกในชุมชนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จนได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดโครงการชุมชนสดใส จิตใจงดงาม ประจำปี 2560 ของ การเคหะแห่งชาติ
แม้โครงการบ้านเอื้ออาทรจะเกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ที่ดี แต่ก็กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ยืดเยื้อหลายอย่าง จนทำให้บ้านเอื้ออาทรต้องหยุดชะงัก และถูกโจมตีว่าเป็นโครงการประชานิยม
แท้จริงแล้ว “บ้านเอื้ออาทร” เลวร้ายจริงหรือ? เหตุใดจึงถูกชุบชีวิตใหม่..ต่อยอดเป็น “บ้านประชารัฐ”
“บ้านประชารัฐ” คือชื่อใหม่ของบ้านเอื้ออาทรที่รัฐบาลปัจจุบันปล่อยสินเชื่อเพื่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยเอื้อต่อผู้มีรายได้น้อยให้สามารถซื้อบ้านได้โดยการกู้เงินกับธนาคารในอัตราดอกเบี้ยถูกลง ซึ่งเป็นแนวความคิดเดียวกันกับโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” เดิม
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ “บ้านเอื้ออาทร” ถูกชุบชีวิตใหม่ในชื่อ “บ้านประชารัฐ” อีกครั้ง ก็เพราะโครงการนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้หลากหลายมิติ ทั้งลดการบุกรุกที่สาธารณะ ลดชุมชนแออัด ลดปัญหาอาชญากรรมต่างๆ แล้ว ยังเป็นการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาคอีกด้วย เพราะเมื่อมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ นั่นหมายถึงจะเกิดการเติมเงินเข้าไปในระบบ ตั้งแต่ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจการขนส่งสินค้า ธุรกิจการก่อสร้าง ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงเกิดการจ้างแรงงานจำนวนมาก ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ การชุบชีวิต “บ้านเอื้ออาทร” อีกครั้ง จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์อย่างครอบคลุมคุ้มค่า
บทสรุปของ “บ้านเอื้ออาทร” จะเป็นเช่นไร จะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพิสูจน์ได้ ก็คือ การมีบ้านคือต้นทางที่สำคัญ เพราะเมื่อเรามีบ้านมีครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง สังคม เข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งด้วย ..นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” หนึ่งในนโยบายลดความเหลื่อมล้ำที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการสร้างให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย
ครัวไทยสู่ครัวโลก
Gastrodiplomacy – การทูตผ่านอาหาร
ในปี 2545 สมัยรัฐบาลของนายกทักษิณเคยส่งเสริม Soft Power โดยใช้เงินมหาศาลอัดฉีดส่งเสริมนโยบายอาหารไทยภายใต้แนวคิด “Global Thai” หรือ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็น Soft Power อย่างหนึ่งที่ประเทศไทยเริ่มต้น ซึ่งเริ่มต้นพร้อมๆ กับประเทศเกาหลีใต้ด้วยซ้ำ
.
ตอนนั้นเรามีร้านอาหารไทยทั่วโลกอยู่ประมาณ 5,000 ร้าน หลังจากมีแคมเปญตัวนี้ออกมา พบว่ามีร้านอาหารไทยเพิ่มมากว่า 15,000 ร้านทั่วโลก จนตอนนั้นเป็นปรากฎการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง the Economist บัญญัติศัพท์ใหม่ให้กับปรากฎการณ์นี้ขึ้นว่า “Gastrodiplomacy” หรือ “การทูตผ่านอาหาร”
.
นี่คือ Soft Power ของประเทศไทย ที่ใช้เชื่อมโยงทั่วโลกผ่านอาหารไทย ตอนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทยได้มากขึ้นถึง 200 % จากนโยบาย Global Thai
.
ไม่เพียงเท่านั้นแนวคิดครัวไทยสู่ครัวโลกยังถือเป็นต้นฉบับของการส่งออกอาหาร เป็นการใช้ Soft Power ผ่านอาหาร ประเทศเกาหลีใต้มาทำตามประเทศไทยด้วยซ้ำ (อันนี้ตามที่เคยดูในสารคดี) ไทยเองเป็นต้นแบบให้เกาหลีใต้ในการใช้นโยบายการทูตผ่านอาหาร เกาหลีเลยทำบ้างโดยใช้ชื่อว่า The Global Hansik Campaign คือการใช้อาหารของเขาโปรโมทประเทศของตัวเอง
.
แต่ว่าเกาหลีใต้ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จกว่าเพราะตอนที่ประเทศไทยปล่อยโครงการนี้ออกมา เกาหลีใต้ทำควบคู่ไปกับ Korean Wave ไปด้วย ทุกอย่างเลยสอดรับกันหมด ประเทศเกาหลีใต้ตอนนั้นก็ลงทุนประมาณเกือบหมื่นล้านบาทในการส่งเสริม สนับสนุน การส่งออกพวก Pop-Culture ทั้งอุตสาหกรรมเพลง ภาพยนตร์ ซีรีย์ ทุกอย่างเลยสอดรับการส่งออก Soft Power ในรูปแบบของการใช้อาหารในการสื่อสารอย่าง “แดจังกึม” ก็เป็นการใช้ Soft Power ในการเชื่อมโยงประเทศเกาหลีกับโลก และก็ทำให้คนมาสนใจวัฒนธรรมเกาหลี สนใจอาหารเกาหลีมากขึ้น ซึ่งได้รับความนิยมมาก
ที่มา: CARE คิด เคลื่อน ไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง
‘เพื่อไทย’ พร้อมด้วยอาสาสมัคร ลงพื้นที่ล้างโคลนบ้านเรือนตัวเมืองหาดใหญ่ต่อเนื่อง
อ่านต่อ