รองโฆษกพรรคเพื่อไทย มอบอาหาร-ของใช้จำเป็นเขตสวนหลวง ชี้ประชาชนกังวลภาวะไม่มีงานทำหลังโควิด-19 ระบาดรอบ 3
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนางสาวปิยะวรรณ จระกา ว่าที่ผู้สมัคร สก.เขตสวนหลวง นายปริญญา จระกา ประธานโซนศรีนครินทร์ นายธกร เลาหพงศ์ชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยรักษาชาติและนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ รวมทั้งผู้เข้าร่วมโครงการ The Change Maker ลงพื้นที่ชุมชนโมราวรรณ 1 , 2 และชุมชนวัดใต้ มอบถุงยังชีพ อาหารแห้ง รวมทั้งของใช้จำเป็นให้กับประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งสร้างผลกระทบให้กับประชาชนในหลายชุมชน โดยพบว่าประชาชนในชุมชนโมราวรรณ 1 เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 เพียง 1 คน ส่งผลให้ต้องกักตัวทั้งครอบครัวในระหว่างรอผลตรวจ โดยขณะนี้ผ่านการตรวจเชื้อแล้ว 400 คน
นางสาวปิยะวรรณ กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถออกไปทำงานได้ แรงงานเป็นลูกจ้างรายวัน ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงซึ่งไม่มีผู้ติดเชื้อมีความกังวลไม่กล้าออกนอกบ้าน จึงขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว ต้องพึ่งพาอาหารและสิ่งของบริจาคมาใช้ในการประกอบอาหารเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน
 
															รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ต่างๆ ได้กลายเป็นคลัสเตอร์ดาวกระจายไปแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบหนัก รวมถึงกลุ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม โดยอยากให้รัฐบาลหาวิธีเยียวยาเป็นเงินสดลงไปถึงพี่น้องประชาชน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตได้หรือไม่ พร้อมทั้งเร่งหยุดการระบาดให้ได้โดยเร็ว เพราะประชาชนอยากใช้ชีวิต อยากออกไปทำงาน ไม่อยากอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป
นางสาวชยิกา กล่าวว่า จากการพูดคุยสอบถามประชาชนพบว่า พวกเขากลัวโควิดมาก แต่กลัวอดตายก่อนจะได้ฉีดวัคซีนมากกว่า จึงขอให้รัฐบาลเห็นใจประชาชนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ เร่งนำเข้าวัคซีนและฉีดให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงก่อนช่วงปลายปีที่รัฐบาลกำหนดไว้ด้วย
 
															บทความที่เกี่ยวข้อง
 
                                  
                ‘ดนุพร’ เรียก 7 บริษัทในตลาดหุ้น ให้ข้อมูลเอี่ยวสแกมเมอร์ เชิญ ก.ล.ต.-ปปง. ร่วมสอบ
อ่านต่อ 
                                  
                นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบน x ตั้งคำถามถึง MOU แร่แรร์เอิร์ธ ที่รัฐบาลไทย ไปลงนามกับสหรัฐฯ โดยมีข้อกังวลว่าไทยได้ประโยชน์อะไรจาก MOU ฉบับนี้ พร้อมชี้ให้เห็นว่า การไปลงนาม MOU ดังกล่าวโดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรีหรือรัฐสภาก่อนนั้นอาจขาดความรอบคอบ รัดกุม เสี่ยงต่อการเสียอำนาจการต่อรอง และหากลงนามกันแต่บอกว่าไม่ผูกพันยิ่งทำให้ประเทศเสียความน่าเชื่อถือบนเวทีโลก โดยนายศึกษิษฏ์ ได้เขียนข้อความดังนี้
อ่านต่อ 
                                  
                 
                                   
                                   
                                   
                                  