“จะไม่ยอมนอนตายคาบ้านเด็ดขาด!” ผู้รอคิวตรวจเชื้อโควิดตะโกนฟ้องหมอทศพร ถึงระบบจัดการตรวจเชื้อไร้ประสิทธิภาพภาครัฐ
นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าถึงเวลาแล้ว ที่รัฐต้องยอมให้ประชาชนเข้าถึงชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบเร่งด่วนหรือ Rapid Antigen test เพราะมาตรการให้บริการตรวจเชื้อเชิงรุกแบบที่ประชาชนต้องมาต่อคิวข้ามคืนมันล้มเหลวมันไม่ใช่เชิงรุก เพราะมาตรการนี้ทำให้คนสูงอายุที่รอไม่ไหว ไปนอนกักตัวแล้วเกิดเหตุเสียชีวิตกันหลายคน โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนเองได้ไปเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่มาเข้าคิวเพื่อรอรับบัตรคิวตรวจเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่ามีประชาชนหลายร้อยคนรอคิวตามทางเดินตั้งแต่หน้าแผนก OPD ไปถึงตึกผู้ป่วยฉุกเฉินยาวออกไปด้านนอก มีทั้งเด็กเล็ก วัยทำงาน ตลอดจนผู้สูงอายุ มีอาชีพหลากหลายตั้งแต่แม่ค้า รับจ้าง รับราชการ และทุกคนก็เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์โควิดในชุมชนของตนเองว่าระบาดกันหนักมากขนาดไหน เช่น คุณแม่ลูก 2 คน ลูกชายวัย 7 ขวบกับลูกสาว 2 ขวบ เล่าว่าตัวคุณแม่เคยติดเชื้อโควิดและไปรักษาตัวกลับมา แต่พอถึงบ้านก็พบลูกสองคนติดเชื้อตาม ซึ่งยังหาเตียงให้ไม่ได้ นี่คือตัวอย่างว่า การตรวจเชื้อของภาครัฐในขณะนี้ล่าช้า และวัคซีนที่มีไม่มีประสิทธิภาพ หลายคนระบายความอัดอั้นเจ็บปวดที่ต้องพาลูกมานอนรอตรวจโควิดข้ามคืนตะโกนว่า “ถ้าไม่มีเตียงให้ผมนอน พวกผมไม่ยอมให้นอนตายคาบ้านหรอก จะไปนอนรอเตียงหน้าทำเนียบ” ซึ่งต้องยอมรับว่า ทุกคนอึดอัด อัดอั้นกับสถานการณ์วันนี้
“ผมจึงอยากเรียกร้องภาครัฐซ้ำอีก แม้จะเคยเรียกร้องไปแล้วว่า รัฐต้องเพิ่มเตียง เพิ่มสถานแรกรับในชุมชนให้เพียงพอกับผู้ป่วย จุดตรวจหาเชื้อต้องทำงานเชิงรุกไม่ใช่ให้คนมาหายืนรอคิวข้ามคืนแบบนี้ ควรอนุญาตให้ประชาชนได้เข้าถึงชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน หรือ Rapid Antigen test ไม่ต้องไปห่วงเรื่องการแปลผล เพราะสอนวิธีการใช้ได้ไม่ยาก เพราะอย่างน้อยจะได้รู้จำนวนผู้ติดเชื้อจริงและแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนได้เร็วที่สุด” นายแพทย์ทศพร กล่าว
บทความที่เกี่ยวข้อง
“จุลพันธ์” เตือนอนุทิน ปมท่าทีการทูตคลาดเคลื่อน ทำไทยสูญเสียความได้เปรียบ–ถูกกดดันรอบด้าน
อ่านต่อ
บทความ “อนาคตของประเทศไทย: เปลี่ยนความเป็นกลางเป็นโอกาส” โดย ดร.นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ กล่าวถึงแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยควรใช้ในยุคโลกหลายขั้ว เพื่อเปลี่ยน “ความเป็นกลางทางการเมือง” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดพันธมิตรทั่วโลก
อ่านต่อ