กระจายเม็ดเงินลงทุน คมนาคม-ขนส่ง ฟื้นเศรษฐกิจ เสริมศักยภาพประเทศ โต้ฝ่ายค้าน ถนนคือการลงทุนที่ประชาชนสัมผัสได้
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในเรื่องนโยบายคมนาคม
นายชนินทร์กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์นอกประเทศจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และมาตรการรับมือของประเทศต่างๆ ที่ต้องปรับตัวขนานใหญ่ ส่งผลต่อความเสี่ยงของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในเรื่องการผลิต การส่งออก หรือการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น การออกแบบงบประมาณในปี 69 นี้จึงมีความสำคัญมาก และผมอยากชี้ให้เห็นจุดเด่นของการจัดงบประมาณในปีนี้ ที่เร่งกระจายเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเป็นเฟืองสำคัญในการสร้างแรงเหวี่ยงให้เศรษฐกิจไทย ในระยะผันผวน
[ศักยภาพของไทย ภายใต้เศรษฐกิจโลกผันผวน]
โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่มีศักยภาพ จะเป็น “ภูมิคุ้มกันชั้นดี” ในอนาคต ให้แข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนได้ เพื่อให้ไทยเป็นตัวเลือกหลัก ของการเป็นฐานการผลิต การขนส่ง การเดินทาง หรือการท่องเที่ยว จึงไม่แปลกใจ ที่รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกแพทองธาร ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มาก ทั้ง
(1) ผันงบ 1.57 แสนล้าน ของงบ 68 ที่เคยกันไว้เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มาใช้เพื่อการกระจายเม็ดเงินการลงทุน ไปยังโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศเป็นการเร่งด่วนก่อน และ
(2) การออกแบบงบประมาณ 2569 ฉบับนี้ ที่ให้ความสำคัญกับงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่เพิ่มมากขึ้น
[ภาพรวมงบคมนาคม]
– งบกระทรวงคมนาคมปีนี้ 261,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.83%
– รายจ่ายประจำลดลง แต่รายจ่ายลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 7.84% หรือคิดเป็นเงินกว่า 230,000 ล้านบาท ไม่รวมงบลงทุนที่เป็นเงินนอกงบประมาณด้วย
– งบลงทุนเหล่านี้ คือการสร้างแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจ ให้ GDP ประเทศไทยเติบโตได้ต่อทั้งในระยะสั้น / กลาง / ยาว
[ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจทุกระยะ]
– ในระยะสั้น งบลงทุนเหล่านี้ (หมุนเฟืองตัวแรก) คือการจ้างแรงงาน การผลิตวัตถุดิบ การสร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นต้นน้ำ ในการนำรายได้เหล่านั้นไปเคลื่อนเศรษฐกิจต่อ ข้อมูลการศึกษาของสภาพัฒน์ชี้ว่า การที่ภาครัฐลงทุนเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของเอกชน และทุกการลงทุนของรัฐที่เพิ่มร้อยละ 1 จะส่งผลกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 0.12 – 0.13
– ในระยะกลาง โครงการก่อสร้างเหล่านี้ จะ (ดึงดูดการต่อเฟือง หรือ Crowding-in effects) ดึงดูดเอกชนทั้งในและนอกพื้นที่ ที่เห็นโอกาสของการพัฒนาในพื้นที่นั้น มาร่วมลงทุนเปิดธุรกิจ เปิดโรงงาน สร้างชุมชน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆในพื้นที่ระแวกนั้นไปพร้อมกัน
– ในระยะยาว เมื่อโครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นเสร็จ (เดินเครื่องยนต์) ก็จะเสริมศักยภาพทางการแข่งขันให้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลดระยะเวลาการเดินทาง ลดต้นทุนการขนส่ง หรือเพิ่มศักยภาพรองรับการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
สิ่งนี้คือเหตุผลที่ซ้อนอยู่ใต้ แนวคิดที่ เพิ่มสัดส่วนงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการลงทุนที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ทุกจังหวัด ทั่วประเทศไทย
[งบพัฒนาถนน]
– โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม = โครงสร้างถนน ระบบราง การขนส่งทางน้ำ และอากาศ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เส้นเลือดหลักของการสัญจร” ที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชนที่สุด คือเส้นทางรถ หรือการพัฒนาถนนหนทาง
– งบประมาณของ กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญครับ เพื่อกระจายการลงทุนพัฒนาถนนลงไปในทุกพื้นที่ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นของพี่น้องประชาชนทุกคน และดำเนินการได้เร็วได้ทันที ยืนยันงบการพัฒนาถนนกระจายทุกจังหวัด ทั้งในลักษณะของ การตัดเส้นทางใหม่ / ขยายเส้นทางเดิม / บูรณะให้มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่าง ถ.สาย ง. ผังเมืองรวม จ.สุรินทร์ เป็นโครงการที่พี่น้องประชาชน รองบประมาณมายาวนาน เป็นเส้น bypass เลี่ยงเมืองมาบรรจบที่ ม.ราชภัฏ ซึ่งจะช่วยลดการติดขัดของจราจรในเมือง และส่งเสริมการลงทุนโดยรอบเส้นทางที่ตัดใหม่ได้มาก
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นเลือดหลักของการสัญจรที่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนที่สุด ก็คือการพัฒนาถนนหนทาง ผมก็ยังไม่เข้าใจมุมมองของเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านที่ตั้งคำถามกับงบพัฒนาถนนที่มากในปีนี้ เพราะในมุมมองของพรรครัฐบาล การลงทุนในถนนคือการลงทุนที่พี่น้องประชาชนสัมผัสได้ และได้ประโยชน์อย่างเร่งด่วน” นายชนินทร์กล่าว
และยังมีอีกหลายโครงการ ที่แก้ไขจุดคอขวดสำคัญของการสัญจรในประเทศ อาทิ
(1) การก่อสร้างทางหลวงพิเศษบางปะอิน-โคราช ให้เสร็จสิ้น
(2) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 บางบัวทอง-บางปะอิน
(3) สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง บนทางหลวงหมายเลข 34 จ.ฉะเชิงเทรา
(4) โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต ที่เป็นทางเจาะทะลุเขา เร่งระบายการจราจรที่ติดขัดของตัวเมืองภูเก็ต
(5) จุดจอดพักรถบรรทุกขนาดใหญ่ อีก 2 แห่ง จ.ลพบุรี – นครราชสีมา และ
(6) จุดควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ อีก 4 แห่ง จ.นนทบุรี – ปทุมธานี – นครศรีธรรมราช – สุราษฎร์ธานี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งทางรถ และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบการบรรทุกน้ำหนักให้เหมาะสมอีกด้วย
[งบพัฒนาทางน้ำ]
กรมเจ้าท่า จัดโครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพการเดินเรือ และการขนส่งผ่านโครงการ
(1) ขุดลอก 5 ร่องน้ำเศรษฐกิจ ที่สำคัญของประเทศ
และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
(2) ก่อสร้างท่าเรือเฟอร์รี่บริเวณอ่าวปอ ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
(3) ก่อสร้างท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
[งบพัฒนาทางอากาศ]
กรมท่าอากาศยาน จัดโครงการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของสนามบินปัจจุบัน
(1) เพิ่มความยาว Runway สนามบินแพร่
(2) ขยายอาคารผู้โดยสารสนามบินระนอง
[งบพัฒนาทางราง]
เดินหน้า mega projects ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการขนส่งครั้งใหญ่ของประเทศ วางรากฐานสำหรับอนาคต เพื่อให้เราสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
(1) รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เชื่อมโยงทั้งภูมิภาค (ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย) ที่จะเป็นเส้นทางหลัก ที่เปิดโอกาสทางการค้าและการลงทุนมหาศาล เดินหน้าเฟสใหม่ รถไฟความเร็วสูงช่วง โคราช-หนองคาย คู่ขนานกับเส้นทางเดิม
(2) เร่งก่อสร้าง รถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย รองรับการขนส่งสินค้าจากประตูมังกรหนองคาย เชื่อมยา;ลงมาที่ท่าเรือแหลมฉบัง
(3) เดินหน้าก่อสร้าง รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะยกระดับการเชื่อมต่อระหว่างสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา สนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ EEC และอุตสาหกรรมการบิน
(4) เดินหน้าโครงการเขตเศรษฐกิจ SEC และทางรถไฟ Landbridge เชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน จะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางเลือกใหม่ที่รวดเร็วกว่าการอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ยกระดับไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่ง กรมการขนส่งทางราง ก็มีการเร่งศึกษาในอีกหลายเรื่อง เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างค่าบริการ และการทำงาน ให้แข่งขันได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ
(1) การศึกษา ปรับปรุงอัตราค่าขนส่ง ค่าใช้ประโยชน์จากราง
(2) การศึกษา แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อด้วยระบบราง ระหว่าง ไทย-กัมพูชา (ซึงจะสามารถเชื่อมต่อไปยังเวียดนามใต้ได้)
(3) การศึกษา ปรับปรุงการกำหนดอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ที่จะบูรณาการการคิดค่าโดยสารรถไฟหลายสายเข้าด้วยกัน รวมไปถึงค่าโดยสารของโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล ให้มีความเป็นธรรมและเหมาะสมกับค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนมากขึ้น ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการให้ขนส่งสาธารณะเป็นการเดินทางหลัก ที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้จริง
[ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพและปริมณฑล]
นอกเหนือจากการผลักดันเรื่อง รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และการใช้งานตั๋วร่วม ที่จะเกิดขึ้นจริงในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ตามคำมั่นสัญญาของ ท่านรองนายกสุริยะแล้ว งบประมาณปีนี้ทาง ขสมก. ยังจะได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับ (1) โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (รถเมล์ EV) และ (2) โครงการติดตั้งระบบ GPS ติดตามตำแหน่งรถโดยสาร เพื่อเปลี่ยนผ่านขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานครเมืองหลวง ให้เป็นรถพลังงานสะอาดทั้งหมด และสามารถติดตามตำแหน่งรถได้ผ่าน application ที่มีความทันสมัย และเป็นมิตรกับพี่น้องประชาชนมากขึ้น
[ปรับปรุงรถไฟทางไกล]
ไม่ใช่แค่รถไฟฟ้าหรือรถเมล์ในเมือง แต่รถไฟทางไกลก็จะมีการปรับปรุงด้วย งบประมาณปี 69 นี้ ได้เริ่มจัดสรรงบประมาณเพื่อนำร่องปรับปรุงขบวนรถไฟ ตามแนวนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่จะยกระดับมาตรฐานรถไฟทั้งระบบ ทั้งชั้น 1 -2 -3 ให้มีมาตรฐานมากขึ้น เป็นรถปรับอากาศ ห้องน้ำสะอาด มีที่นั่งใหม่สะดวกสบาย และติดตั้งระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งถ้าต้นแบบเหล่านี้เป็นที่น่าพอใจ ก็จะนำสู่การปรับปรุงตู้โดยสารทั้งหมดต่อไป
“โครงการเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร มั่นใจอย่างยิ่งว่าภายใต้งบประมาณฉบับนี้ เราจะได้เห็นการเร่งกระจายเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ในระยะเร่งด่วน และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญ ของการเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ ที่จะเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค สร้างแต้มต่อในการดึงดูดการลงทุน และให้ไทยกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต ได้จริง” นายชนินทร์กล่าว
#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #ชนินทร์

บทความที่เกี่ยวข้อง
