น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 

น.ส.ปิยะรัฐชย์สนับสนุนงบประมาณด้านการจัดการภัยพิบัติปี 2569 ว่า ภายใต้แนวคิดหลักที่ว่า

“ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องเฉพาะหน้า แต่คือโครงสร้างความมั่นคงของชีวิตประชาชน” ในโลกที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอย่างรวดเร็ว เรากำลังเผชิญกับ ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์และสภาพอากาศ ที่คาดเดาได้ยาก ตั้งแต่น้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินไหว ไปจนถึงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว วิกฤตพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลก เหตุเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัยของประชาชน เราจะเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับแนวทางในการรองรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้ให้เท่าทัน

รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จึงเล็งเห็นว่าการลงทุนในด้านการป้องกันภัยพิบัติ เปรียบเสมือนการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งให้กับประเทศ ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแล้วค่อยมารอแก้ไข จึงได้จัดสรร งบประมาณกว่า 150,645.5  ล้านบาท เพื่อบูรณาการการเตือนภัย ป้องกัน บรรเทา ฟื้นฟู และเสริมศักยภาพชุมชนและบุคลากรในพื้นที่ ให้พร้อมรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างยั่งยืน

[บทเรียนจากสถานการณ์ที่ผ่านมา: ตัวอย่างภัยพิบัติใหญ่ในปี 2567–2568]

การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ สะท้อนจาก บทเรียน ในช่วงปี 2567–2568 ที่ประเทศไทยได้เผชิญเหตุการณ์ใหญ่อย่างน้อย 2 กรณี ได้แก่ แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ จากแรงสั่นสะเทือนของรอยเลื่อนสะกายในเมียนมา ขนาด 8.2 แมกนิจูด ผู้เสียชีวิต 18 ราย ผู้สูญหาย 78 ราย

ความเสียหายรวมกว่า 20,000 ล้านบาท

น้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย รุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี กระทบกว่า 53,000 ครัวเรือนความเสียหายรวมประมาณ 6,400 ล้านบาท

เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า ภัยพิบัติมาได้ทุกรูปแบบ และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง หากขาดการเตรียมพร้อมและป้องกันที่ดีตั้งแต่ต้น ประเทศก็จะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟู ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

[โครงสร้างงบประมาณด้านภัยพิบัติ 2569: จากการ “รอแก้ไข” สู่การ “ลงทุนเชิงป้องกัน”]

งบประมาณด้านภัยพิบัติปี 2569 วงเงิน กว่า 150,000 กว่าล้านบาท ถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติของการจัดการภัยพิบัติ ตั้งแต่ การเตือนภัย การป้องกันล่วงหน้า การบรรเทาผลกระทบ การฟื้นฟู ไปจนถึงการกระจายอำนาจและเสริมขีดความสามารถให้ท้องถิ่น โดยมี 2 ส่วนหลัก และนอกจากนี้ยังมีงบอื่นๆ ที่กระจายตัวอยู่ในงบท้องถิ่น ได้แก่

1.แผนยุทธศาสตร์เตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ ปีงบประมาณ 2569 วงเงินรวม 26,685.5 ล้านบาท

เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อขีดความสามารถในการบริหารจัดการภัยพิบัติของภาครัฐ แผนนี้มุ่งเน้นการป้องกัน ฟื้นฟู และลดความสูญเสียจากสาธารณภัย ผ่านการดำเนินงานในด้านสำคัญ ดังนี้

-เพิ่มสมรรถนะในการปฏิบัติงานภาคสนาม สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติฉุกเฉิน การกู้ภัย และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ

-จัดหาเครื่องมือและครุภัณฑ์ที่ทันสมัย เพื่อให้หน่วยงานสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที

-ยกระดับระบบเตือนภัยและฝึกอบรมบุคลากร เสริมทักษะและความพร้อมของเจ้าหน้าที่ โดยฝึกอบรมเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

-สร้างการรับรู้และความตระหนักแก่ประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติในระดับชุมชน

-ดำเนินโครงการป้องกันและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำ เพื่อบรรเทาความเสียหายจากภัยธรรมชาติในระยะยาว

โดยในจำนวนนี้เป็น งบประมาณกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อยู่ที่ 7,026.4 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ประมาณ 6.1% หรือราว 400 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่ตระหนักถึงการรับมือกับภัยพิบัติและเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งงบประมาณจำนวนนี้มุ่งเน้นในด้าน เสริมศักยภาพศูนย์บัญชาการภาคสนาม จัดหาอุปกรณ์กู้ภัยและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และขยายการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

2.แผนบริหารงานเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 123,960 ล้านบาท

วางแผนรองรับสถานการณ์เร่งด่วนที่อาจกระทบต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง รักษาความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพของรัฐ เยียวยาความเสียหายและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะวิกฤต สนับสนุนภารกิจจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาล ชดเชยค่างานก่อสร้างแก่ผู้ประกอบอาชีพก่อสร้าง ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ชัดว่ารัฐบาลของเราต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญในด้านนี้  โดยคำนึงถึงหลักวินัยทางการคลัง เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

[การกระจายอำนาจและเสริมศักยภาพพื้นที่: ลดความเสี่ยง สร้างความเข้มแข็งจากภายใน]

รัฐบาลตระหนักดีว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นฟันเฟืองสำคัญในการตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงได้ให้ความสำคัญกับการ “กระจายอำนาจ” สู่ระดับพื้นที่อย่างจริงจัง โดยมีงบประมาณสนับสนุนเฉพาะสำหรับท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ทั้งในรูปโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก การติดตั้งระบบเตือนภัย และการฝึกอบรมอาสาสมัคร ตัวอย่าง โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายกว่า  52.3 ล้านบาท 

[สนับสนุนรัฐวิสาหกิจและกลไกประกันภัย: ปกป้องเกษตรกรจากภัยธรรมชาติ]

นอกจากการกระจายงบลงสู่พื้นที่และงบประมาณตามแผนที่ได้เตรียมไว้สำหรับการรับมือกับภัยพิบัติแล้วนั้น รัฐบาลยังสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีหลักประกันที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ เพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ได้ทำลายแค่ชีวิตแต่ทำลายโอกาสทำกินในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพที่ต้องพึ่งความแน่นอนทางธรรมชาติอย่างเกษตรกร ตัวอย่างเช่น โครงการประกันภัยข้าวนาปี ธ.ก.ส. วงเงิน 185,329,700 บาท โดยปรับระบบประกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติให้เหมาะสมและยั่งยืน ลดความเสี่ยงรายได้สำหรับเกษตรกร เมื่อผลผลิตได้รับความเสียหาย กลไกนี้จะช่วยให้ ภาคเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย สามารถรับมือกับความผันผวนของสภาพอากาศได้ดียิ่งขึ้น และยังลดภาระงบประมาณด้านเยียวยาที่รัฐต้องแบกรับในระยะยาว

[ตัวอย่างประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ: จากเชิงนโยบายสู่ผลลัพธ์เป็นรูปธรรม]

-ยกระดับบุคลากรและเครือข่ายอาสาสมัครประชาชนกว่า 2,000 คนจะได้รับการอบรมเสริมความรู้ในการจัดการสาธารณภัย สามารถช่วยเหลือชุมชนได้อย่างทันท่วงที

-ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่ทันสมัย ลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อภัยมาโดยไม่คาดคิด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการทดลองการใช้งาน เทคโนโลยี Cell Broadcast หรือระบบสารสนเทศอื่น ๆ ที่แจ้งเตือนไปยังพื้นที่เสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว ที่รัฐบาลได้มีการสั่งการให้ทดลองในวันที่ 13 พค. ที่ผ่านมา

-เฮลิคอปเตอร์เพื่อภารกิจฉุกเฉิน 6 ลำเพิ่มศักยภาพด้านการช่วยเหลือและขนส่งเสบียงในกรณีพื้นที่เข้าถึงยาก

-ทั้งหมดนี้ตอบสนองต่อเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้การบริหารจัดการภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉินครอบคลุมทุกมิติ และสามารถตอบสนองอย่างน้อย ร้อยละ 80 ของเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“โลกของเราวันนี้เต็มไปด้วย ความผันผวนและความไม่แน่นอน หากไม่วางรากฐานด้านการป้องกันภัยพิบัติ เราอาจต้องเผชิญปัญหาซ้ำซากและความสูญเสียมหาศาลในอนาคต ดิฉันเข้าใจดีในการจัดการงบของประเทศที่มีอย่างจำกัดนี้ แต่งบประมาณปี 2569 ด้านภัยพิบัติวงเงินกว่า 150,645.5 ล้านบาท ไม่ได้เป็นเพียงการใช้จ่ายเพื่อจัดการวิกฤตเฉพาะหน้า แต่คือ “การลงทุนระยะยาว” เพื่อความอยู่รอดและความปลอดภัยของประชาชน เป็นการวางระบบ ป้องกันเชิงรุก ช่วยให้ชุมชนมีส่วนร่วมและพึ่งตนเองได้มากขึ้น เสริมความเข้มแข็งของประเทศ พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดา”

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #ปิยะรัฐชย์