นายแพทย์โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย  สส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ว่า ไทยต้องลงทุนในระบบสาธารณสุขอย่างรอบด้าน ทั้งเพื่อรองรับสังคมสูงวัย แก้ปัญหาหน่วยบริการขาดทุน

และยกระดับ รพ.สต. เป็นศูนย์ดูแลสุขภาพระยะยาว พร้อมผลักดันแพทย์แผนไทยและ Wellness Tourism ให้เป็นโอกาสเศรษฐกิจใหม่ เสนอให้เปลี่ยนมุมมองงบสุขภาพจาก “ภาระ” เป็น “การลงทุนในศักยภาพประชาชนและประเทศ”

.

[ปัญหาใหญ่ที่เผชิญอยู่]

.

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ๆ ในด้านการสาธารณสุขอย่างน้อย 2 ประการคือ 

.

(1) กำลังก้าวสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ภายในปี 2568 ผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 และจะเพิ่มเป็นเกือบ 1 ใน 3 ภายในปี 2583 — นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่คือความท้าทายด้านเศรษฐกิจ แรงงาน และระบบสาธารณสุข และ 

.

(2) ปัญหาหน่วยบริการทางสาธารณสุขหลายแห่งกำลังประสบปัญหาขาดทุนในการดำเนินงาน การจัดสรรงบประมาณปีนี้ของไทยจึงต้องถูกมองว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือ “การวางรากฐานอนาคต” ทั้งเพื่อแก้ปัญหาและสร้างโอกาสใหม่

.

เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดด้านงบประมาณสุขภาพ จาก “ภาระค่าใช้จ่าย” ไปสู่ “การลงทุนที่สร้างศักยภาพมนุษย์” ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และเพิ่มผลิตภาพของสาธารณสุขไทย

.

รัฐบาลจึงเดินหน้ายกระดับ รพ.สต. ให้เป็นศูนย์กลางดูแลสุขภาพระยะยาวในชุมชน สามารถแก้ไขปัญหาการขาดทุนที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมแพทย์แผนไทยให้กลายเป็นทั้งทางเลือกในการรักษา และอุตสาหกรรมใหม่ด้าน Wellness Tourism พร้อมขยายสิทธิรักษาแบบ “30 บาทรักษาทุกที่” ให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวก รวดเร็ว ทั่วประเทศ

.

ทั้งหมดนี้คือเพราะพี่น้องประชาชนทุกคนไม่ใช่เพียงผู้รับบริการทางสุขภาพ แต่คือ กำลังสำคัญของประเทศ ที่ต้องได้รับการเสริมพลังให้มีสุขภาพดี มีศักยภาพในการดำรงชีวิต และสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในยุคที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมสูงวัย ผู้สูงอายุไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่คือคลังความรู้และทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องได้รับการดูแล และส่งเสริมให้มีบทบาทในชุมชนและสังคมต่อไป”

.

[งบประมาณสาธารณสุขไทยกับโอกาสพลิกเศรษฐกิจจากฐานสุขภาพไทย]

.

1. งบฯ สุขภาพไม่ใช่แค่ “ค่ารักษา” แต่คือการ “ลดความเสี่ยง” อย่างยั่งยืน

.

วันนี้ประเทศไทยไม่ใช่แค่เผชิญกับประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องแบกรับภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเรายังใช้งบประมาณไปกับ “การรักษาเมื่อเจ็บป่วย” เป็นหลัก ระบบสาธารณสุขไทยก็จะต้องแบกรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

.

งบประมาณในปีนี้สะท้อนการลงทุนเชิงป้องกันที่เริ่มต้นตั้งแต่ระดับชุมชน เช่น การบูรณาการแพทย์แผนไทย สมุนไพร และระบบสุขภาพชุมชน เพื่อดูแลผู้สูงวัยและกลุ่มเปราะบางโดยตรง เช่น การเพิ่มงบค่าบริการผู้มีภาวะพึ่งพิงกว่า 5,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 90% จากงบประมาณปี 2568 การลงทุนตรงนี้ช่วยลดภาระโรงพยาบาลใหญ่ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง

.

2. เสริมความเข้มแข็งของระบบปฐมภูมิ เพิ่มศักยภาพหน่วยบริการท้องถิ่น ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง

.

ระบบบริการปฐมภูมิในระดับพื้นที่อย่าง รพ.สต. และโรงพยาบาลชุมชน กำลังเผชิญภาวะ “แบกภาระโดยไร้ทุน” จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่รายได้ไม่สอดคล้องกับภารกิจที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น

.

การจัดงบปี 2569 จึงมีสัญญาณบวกจากการเพิ่มค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับท้องถิ่น รวมแล้วกว่า 9,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงกว่า 50% ในบางรายการ เช่น เพิ่มค่าบริการที่ทำร่วมกับ อบต. เทศบาล กทม. และพัทยา 3,870 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 53.45%) เพิ่มค่าบริการสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง 5,514 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 90.13%) เพิ่มค่าบริการที่ทำร่วมกับ อบจ. อีกกว่า 541 ล้านบาท

เพิ่มงบสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการนวัตกรรมขึ้นอีก 72.9%  รวมถึงค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน 1,490,288,000 บาท

.

นอกจากนี้ มีการจัดสรรงบประมาณกว่า 25,708 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าป่วยการสำหรับ อสม. พร้อมทั้งมีการผลักดัน พระราชบัญญัติ อสม. เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรด่านหน้าอย่างเป็นระบบ .

การลดความเสี่ยง(Lower Risk) เช่นนี้ เป็นการประคับประคองให้ อสม. ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เหนื่อยล้า ไม่หมดไฟ และดูแลชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง

.

งบประมาณที่จัดสรรเพิ่มเติมในครั้งนี้คือการลงทุนตรงจุด เติมทรัพยากรให้กับหน่วยบริการที่กำลังขาดแคลนอย่างแท้จริง โดยมี “พี่น้องประชาชน” เป็นศูนย์กลางของสมการ และเป็นเป้าหมายสูงสุดของระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ

.

[แพทย์แผนไทยและสุขภาพเชิงป้องกัน = โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจไทย]

.

-ในยุคที่ Wellness Tourism โตปีละ 20% โลกหันมาใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นดูแลสุขภาพ  ไทยต้องไม่ปล่อยให้ “สมุนไพรไทย นวดไทย แพทย์แผนไทย” หลุดลอยไป

.

-งบกว่า 300 ล้านบาทในปีนี้ คือการลงทุนเพื่อสร้างงาน เพิ่มรายได้ให้ชุมชน และผลักดันไทยสู่ Medical & Wellness Hub ของโลก หากไม่เร่งยกระดับมาตรฐานและนวัตกรรมจากภูมิปัญญาไทย โอกาสนี้อาจถูกประเทศอื่นคว้าไปแทน

.

-นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรงบประมาณผ่านโครงการขับเคลื่อนการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก และสมุนไพร ผ่าน Soft Power ไทย จำนวน 37,417,200 บาท มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสมุนไพรให้แข่งขันได้ในตลาดความงามและเครื่องสำอางระดับนานาชาติอีกด้วย

.

[ประชาชนได้ประโยชน์อะไรบ้าง]

.

-งบประมาณด้านสาธารณสุขปี 2569 วงเงินรวม 177,639,609,100 ล้านบาท คือการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ไม่ใช่แค่เพื่อดูแลสุขภาพในวันนี้ แต่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายคือ การยกระดับการบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิและยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง Wellness Tourism ระดับโลก

.

[การถ่ายโอน รพ.สต. ด่านแรกของการเข้าถึงสิทธิบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน]

.

-ใกล้บ้าน ใกล้ใจ รพ.สต. เป็นหน่วยบริการสาธารณสุขใกล้ชิดประชาชน ช่วยให้ชุมชนเข้าถึงบริการสุขภาพสะดวก ลดค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึง ทั้งยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ และเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยหนัก  

.

[การยกระดับสาธารณสุขสู่ medical hub และ wellness tourism]

.

การยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวทั่วไป พร้อมสร้างพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่า รายได้ยังสามารถนำไปพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และบุคลากรทางการแพทย์ ยกระดับระบบสาธารณสุขในระยะยาว

.

เช่น ในปี 2024 สิงคโปร์ต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากต่างประเทศประมาณ 646,000 คน สร้างรายได้ประมาณ 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสิงคโปร์สามารถนำรายได้ไปลงทุนในเทคโนโลยีการแพทย์ดิจิทัล การแพทย์แม่นยำ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาและการบริการอย่างต่อเนื่อง

.

[การสร้างงานและอาชีพ]

.

จากงานวิจัยพบว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยสนับสนุนการจ้างงานโดยตรงประมาณ 500,000 คน

.

เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในหลากหลายสาขา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ พนักงานสนับสนุนในโรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพ รวมถึงอาชีพใหม่ ๆ เช่น บุคลากรในธุรกิจ Wellness สปา, ศูนย์สุขภาพ, รีสอร์ทเพื่อสุขภาพ การจ้างงานใน Wellness Tourism ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ ไม่เพียงแต่ในสถานบริการ Wellness โดยตรง แต่ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม ที่พัก และกิจกรรมสันทนาการ ที่ปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

.

[สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ]

.

นักท่องเที่ยวกลุ่ม Medical และ Wellness มักมีกำลังซื้อสูงและมีระยะเวลาพำนักนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวสูง ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

.

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกสำหรับ Medical Tourism สร้างรายได้จำนวนมาก คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยมีมูลค่าเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ในระยะ 10 ปีข้างหน้า ตลาด Medical Tourism ของไทยมีโอกาสแตะระดับ 2.2 ล้านล้านบาท 

.

[หัวใจของงบประมาณด้านสาธารณสุข: ไม่ใช่เพียงการลดภาระ แต่คือการสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศ]

.

พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรครัฐบาล ขอสนับสนุนงบประมาณด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่ เพราะงบนี้สะท้อนถึงการปรับบทบาท “สุขภาพ” จากภาระงบประมาณ ไปสู่ “การลงทุนในคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศ”

.

แก้ปัญหาการขาดทุนในหน่วยบริการทางสาธารณสุขอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

.

ยกระดับต้นทุนสุขภาพของคนไทยให้กลายเป็นรากฐานเศรษฐกิจใหม่ ทั้งรองรับสังคมผู้สูงอายุ และไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพโลก

.

ดังนั้น งบประมาณปีนี้ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายระยะสั้น แต่คือ การวางรากฐานอนาคตของประเทศ บนหลักคิด “สุขภาพคือพลังของพี่น้องประชาชน และพลังของพี่น้องประชาชนก็คือพลังของประเทศ”

.

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบ69