นางสาวชนก จันทาทอง สส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 โดยชี้ว่าการท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัวสู่ยุคใหม่ที่เน้น “ประสบการณ์จริง” และ “เรื่องเล่า” มากกว่าปริมาณ
นักท่องเที่ยวต้องการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น ไทยมีทุนวัฒนธรรมหลากหลาย ควรยกระดับเป็นสินค้าเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้และความยั่งยืนให้ชุมชน พร้อมผลักดัน Creative Economy และเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ
.
นางสาวชนก จันทาทอง เริ่มต้นกล่าวว่าในโลกปัจจุบันของเรา กำลังเผชิญกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โครงสร้างระเบียบโลกใหม่ได้ก่อตัวขึ้นจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาค ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงกดดันต่อกำลังซื้อของผู้คนทั่วโลก แต่ยังส่งผลให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญการจัดสรรงบประมาณปี 2569 มุ่งเน้นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเหล่านี้
.
[ระเบียบโลกใหม่ & เมกะเทรนด์การท่องเที่ยว]
.
โลกหลังโควิดเต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจ-การเมืองและความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ – นักท่องเที่ยวจึงมุ่ง “หลีกหนีความเครียด” และแสวงหา ประสบการณ์ท้องถิ่นแท้จริง มากกว่าทัวร์เชิงปริมาณ (Authentic Local Experience) งานวิจัย UTMS Journal of Economics คาดว่า ภายใน 2030 การเดินทางแบบ Story-Driven Travel & Authentic Local Experience จะเป็นเมกะเทรนด์หลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
.
[โอกาส VS ความท้าทายของไทยในสนามแข่งขันภูมิภาค]
.
เราจะเห็นได้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเร่งลงทุน Storytelling และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรม (Heritage Tourism) หากไทยยังพึ่งแลนด์มาร์กเดิม ๆ อาจเสียส่วนแบ่งตลาด ทั้งที่ไทยมีทุนวัฒนธรรมชุมชน ประเพณี และอาหารพื้นถิ่นกระจายทุกจังหวัด แต่ยังขาดระบบ “ยกระดับ-บรรจุหีบห่อ” ให้กลายเป็น สินค้าท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ได้อย่างเต็มที่ สิ่งจำเป็นจึงไม่ใช่แค่ดึงนักท่องเที่ยวมาเพิ่ม แต่คือ ยกระดับคุณภาพ-มาตรฐาน-เรื่องเล่า เพื่อเปลี่ยนทุนวัฒนธรรมให้เป็นรายได้และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของชุมชนไทย
.
[ทิศทางงบประมาณ 2569]
.
การจัดสรรงบประมาณปี 2569 มุ่งเน้นการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายคือการพลิกความท้าทายให้เป็นโอกาส และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจผ่านการยกระดับวัฒนธรรมท้องถิ่นและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
.
[การรับมือความเปลี่ยนแปลงใหม่ “บนฐานความจริงและเป็นปัจจุบัน”]
.
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับระเบียบโลกใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวทั่วโลก — จากการเน้นปริมาณ มาสู่การแสวงหา ประสบการณ์ ที่มีความหมาย มีเรื่องเล่า และเชื่อมโยงกับชุมชน
.
-“5 Must Do in Thailand” ของ ททท. ที่เน้น “Must Taste–Must Buy–Must See–Must Seek–Must Try” เพื่อต่อยอดทุนวัฒนธรรมให้เชื่อมโยงกับสินค้า บริการ และประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว
.
-สิ่งนั้นทำให้แม้ประเทศไทยจะเจอวิกฤติหลายด้าน ทั้งนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ สงครามรัสเซีย ยูเครน สงครามอิสราเอล ฮามาส และสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง จากปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์
.
-แต่เพราะการวางแผนรองรับความไม่แน่นอนนี้อย่างดี ทำให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยได้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่หดหายเกือบ 1 ล้านคนในช่วงเดียวกันของปี 2567 เทียบปี 2568 ทำให้ไทยมีรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น 3.13% หรือเกือบ 2 หมื่นล้านบาท จาก 602,000 ล้านบาท ปี 2567 มาเป็น 621,000 ล้านบาทในปี 2568 อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวระยะยาว แบบ Long haul เพิ่มขึ้นเกินกว่าครึ่งแสนคน หรือกว่า 20.43% และ 3 อันดับแรกของจำนวนนักท่องเที่ยวในยุโรปที่เพิ่มขึ้น
.
นอกเหนือจาก “เสน่ห์ไทย” และ “เมืองน่าเที่ยว” แล้ว รัฐบาลยังได้มีการนำเสนอสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่ดำเนินการอย่างยั่งยืนให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากขึ้น จนเกิดกลุ่ม Revisit ที่มีสัดส่วนมากกว่า 70%
.
รัฐบาลเองก็ไม่ได้รอให้โลกเปลี่ยนก่อน แล้วค่อยตาม — แต่ได้เริ่มขยับปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเราเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า “ทุนวัฒนธรรม” สามารถต่อยอดเป็น “ทุนเศรษฐกิจ” ได้ โดยเฉพาะในรูปแบบ Creative Economy จากฐานราก ที่ชุมชนเป็นเจ้าของและมีบทบาทนำ เราจึงผลักดันให้เกิดนโยบายที่เปลี่ยนทุนวัฒนธรรมให้กลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่จริง
.
หากประเทศไทยยังคงพึ่งพารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ หรือแลนด์มาร์กเดิม ๆ โดยไม่เร่งปรับตัว เราอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ลงทุนอย่างจริงจังใน Heritage Tourism และ Story-telling อย่างต่อเนื่อง
.
เวียดนาม: รัฐลงทุนกับแหล่งมรดกโลก เช่น ฮอยอัน ฮาลองเบย์ เว้ และจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชน ส่งผลให้ในปี 2023 เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 12.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า
.
ทั้งหมดนี้คือหลักฐานว่า “เรื่องเล่า” และ “ทุนวัฒนธรรม” ไม่ใช่เพียงสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม แต่คือ ทรัพยากรยุทธศาสตร์ ในสนามแข่งขันท่องเที่ยวระดับภูมิภาค
.
[แปรรูทุนวัฒนธรรม เป็นท่องเที่ยวมูลค่าสูง]
.
หากจัดการอย่างเหมาะสม การแปรรูปทุนวัฒนธรรมให้เป็น “สินค้าท่องเที่ยวมูลค่าสูง” จะไม่เพียงแค่ดึงนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนในระยะยาว
.
กลไกงบประมาณปี 2569 จึงไม่ควรถูกมองเพียงแค่เรื่อง “การท่องเที่ยว” แต่ควรมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจฐานราก ด้วยทุนวัฒนธรรมที่ไทยมีมากกว่าหลายประเทศ เราเพียงแต่ต้อง เปลี่ยน “สิ่งที่มีอยู่” ให้กลายเป็น “โอกาสใหม่” อย่างมีประสิทธิภาพ
.
[ลดความเสี่ยงให้ประชาชน-Lower Risk]
.
สร้าง “พื้นที่เทศกาลประจำปี” อย่างน้อย 3 จังหวัด พร้อมยกระดับมาตรฐานบริการชุมชนท่องเที่ยว
โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒธนธรรม 228 ล้านบาท งบส่วนนี้จะถูกจัดสรรไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อจัดงานเทศกาลและแสดงอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่น เช่น
.
-มหกรรมโปงลาง แพรวา กาฬสินธ์ุ” นอกจากการแสดงดนตรีที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกาฬสินธุ์อย่างโปงลางแล้ว ภายในงานยังส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไหมแพรวา และผ้าภูไท จนได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งไหม
.
-ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา ดัน Soft Power เชื่อมชุมชนชาติพันธุ์ล้านนา สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เวทีสำคัญในการเผยแพร่ต้นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างรายได้ในระดับพื้นที่
.
-การจัดงานดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ แต่ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในระดับชุมชน และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่
.
-CEA สนง.ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ฝึกอบรมผู้ประกอบการท้องถิ่น ≥ 8,000 ราย/ปี พัฒนา Storytelling & Brand → รายได้เข้าชุมชนตรง
.
โครงการพัฒนาและส่งเสริมบุคลากรสร้างสรรค์และธุรกิจไทย 99 ล้านบาท เพื่อต่อยอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผ่านการออกแบบสินค้าและการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นไปสู่ผู้บริโภค ยกระดับมูลค่าและความน่าสนใจของสินค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และขยายโอกาสไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น
.
[พื้นที่เติบโตใหม่-New Workable Space]
.
-งบประมาณจำนวน 753 ล้านบาท ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้รับการจัดสรรในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นการใช้ “ทุนวัฒนธรรม” และ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” มาเป็นฐานในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวรวมไปถึงส่งเสริมให้พื้นที่ท้องถิ่นพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อาทิ พิพิธภัณฑ์ชุมชน บ้านศิลปิน โบราณสถาน และศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ควบคู่กับการสนับสนุนกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และศิลปวัฒนธรรมไทย
.
-การร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นและ DITP เพื่อผลักดันสินค้าของฝากท้องถิ่นโดยใช้งบประมาณจำนวน 464 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ผ่านการพัฒนาคุณภาพสินค้า การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น โครงการนี้มุ่งเน้นการ ขยายโอกาสทางการค้าในตลาดต่างประเทศ ส่งเสริมให้สินค้าและบริการของไทยเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
.
-เราใช้งบ 68 ล้านบาท เพื่อยกระดับ Creative District จังหวัด เชียงใหม่ / ขอนแก่น / สงขลา เป็น Hub ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระดับภูมิภาค การพัฒนาเมืองและย่านเป็นกลไกสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับเมือง ขยายผลสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ
.
[งบปรับได้ นโยบายปรับได้ แต่รายได้และรากเหง้าวัฒนธรรมต้องไม่หาย]
.
ในโลกที่แข่งขันด้วยเรื่องเล่าและประสบการณ์ ประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและพร้อมต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ศิลปะ ประเพณี หรือวิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่น นโยบายปรับได้ งบประมาณเปลี่ยนได้ แต่รายได้ในชุมชนและรากเหง้าวัฒนธรรมไทยต้องไม่หายไป สิ่งที่จำเป็นคือระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และนโยบายที่บูรณาการอย่างเป็นระบบ งบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 จะยกระดับวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ใช่แค่ Soft Power แต่คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอัตลักษณ์ชาติ ดิฉันขอความเห็นชอบสภา เพื่อเดินหน้ากรอบงบประมาณนี้ให้ทันปีการท่องเที่ยวใหม่ และเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสให้ประชาชนทุกภูมิภาค
.
#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบ69

บทความที่เกี่ยวข้อง
