นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 1 เรื่องความสำคัญในการลงทุนใน “สุขภาพดิจิทัล” หรือ Digital Health
ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่คือ “เครื่องมือชี้ขาด” ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสุขภาพ สร้างความมั่นคงในชีวิต และที่สำคัญที่สุด คือ การต่อยอดนโยบายเรือธงของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร คือ “30 บาทรักษาทุกที่” ให้สามารถบรรลุผลสำเร็จได้อย่างแท้จริง
.
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า โครงการ Digital Health ปี 2569 ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรวมทั้งสิ้น 335.70 ล้านบาท เพื่อเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งอนาคตอย่างครบวงจร โดยแบ่งเป็นงบประมาณหลัก 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่
.
1. แผนงานรัฐบาลดิจิทัล จำนวน 229.28 ล้านบาท งบประมาณส่วนนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพอย่างเต็มรูปแบบ
.
-Cloud First ได้รับงบประมาณ 136.09 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการใช้ระบบคลาวด์ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลสุขภาพให้มีความรวดเร็วและปลอดภัย รองรับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
-งบสำหรับ AI จำนวน 61.60 ล้านบาท จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยและบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพอย่างแม่นยำ
-ส่วนของ Cybersecurity หรือการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลสุขภาพ ได้รับงบประมาณ 31.60 ล้านบาท เพื่อป้องกันและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นกับระบบสุขภาพดิจิทัลของประเทศ
.
2. แผนงานสุขภาวะ จำนวน 106.41 ล้านบาท เป็นงบที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนอย่างทั่วถึง
.
-โดยในจำนวนนี้ งบประมาณสำหรับโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” ได้รับจัดสรร 44.82 ล้านบาท เพื่อยกระดับการให้บริการในทุกหน่วยบริการทั่วประเทศตามนโยบายที่เป็นหัวใจหลักของรัฐบาล
-นอกจากนี้ งบประมาณสำหรับ โรงพยาบาลอัจฉริยะและนวัตกรรมสุขภาพ จำนวน 61.59 ล้านบาท จะถูกนำไปพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพ เช่น การให้บริการทางไกล (Telemedicine) เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาในระดับปฐมภูมิ
.
การลงทุนด้าน Digital Health จึงไม่ใช่เพียงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความทันสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างระบบสุขภาพที่ทั่วถึง โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของประชาชนในทุกมิติอย่างแท้จริง
.
3.เทคโนโลยีสำคัญใน Digital Health มีอะไรบ้าง
.
“Digital Health” มิใช่เพียงระบบดิจิทัล แต่คือ การจัดวางองค์ประกอบใหม่ของระบบสุขภาพ ให้เชื่อมโยงทุกช่วงวัย ทุกพื้นที่ ทุกหน่วยบริการอย่างไร้รอยต่อ เทคโนโลยีสำคัญที่นำมาใช้ ได้แก่:
.
-AI วิเคราะห์สุขภาพเชิงรุก – คัดกรองโรคอัตโนมัติ เตือนความเสี่ยงเฉพาะบุคคล
-Life-Course Platform – ดูแลสุขภาพครอบคลุมตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย
-Health@Home (IoT) – ตรวจสุขภาพจากบ้านแบบเรียลไทม์
-แอปสุขภาพแห่งชาติ – รวบรวมประวัติรักษา สิทธิ ใบสั่งยาในที่เดียว
-Smart Dashboard สำหรับชุมชน – อปท. ใช้ข้อมูลจริงวางแผนสุขภาพเชิงรุก
-Digital Health Literacy Hub – เสริมสร้างความรู้ด้านสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม
-Health Navigation All-in-One – ระบบนำทางประชาชนสู่สถานพยาบาลที่เหมาะสม
.
4. 30 บาทรักษาทุกที่ + Digital Health
.
Digital Health จะเข้ามาเป็น “ฟันเฟืองสำคัญ” ที่ทำให้นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ไม่ใช่แค่สิทธิพื้นฐานของประชาชน แต่เป็น ระบบสุขภาพที่เข้าถึงได้ เท่าเทียม และตอบโจทย์ความเป็นจริง
.
ปัจจุบัน ประชาชนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล ต้อง เดินทางกว่า 1–2 ชั่วโมงเพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาล แต่กลับใช้เวลาพบแพทย์จริงเพียง 5–10 นาที และในหลายกรณี ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยยังคงแยกส่วน ข้ามโรงพยาบาลไม่ได้ ทำให้ต้อง “เล่าอาการใหม่ทุกครั้ง” หรือซ้ำซ้อนในการตรวจวินิจฉัย
.
5. Digital Health จะเข้ามาแก้ไขจุดอ่อนนี้อย่างตรงจุด:
.
-ระบบ Health Information Exchange (HIE) จะเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาทุกแห่ง ทำให้แพทย์สามารถดูประวัติคนไข้ได้ทันทีจากทุกโรงพยาบาล
-AI Chatbot จะช่วยคัดกรองอาการเบื้องต้นก่อนพบแพทย์ ช่วยลดระยะเวลารอคอย
-Smart Telemedicine จะทำให้แพทย์เฉพาะทางสามารถให้คำปรึกษาผู้ป่วยจากระยะไกลโดยไม่ต้องเดินทาง
-การส่งยาถึงบ้าน ช่วยลดภาระประชาชนและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางได้ง่าย
-Big Data และ AI จะช่วยวิเคราะห์ปริมาณทรัพยากร แพทย์ ยา อุปกรณ์ ให้มีการกระจายอย่างเหมาะสม ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท
-ทั้งหมดนี้จะทำให้นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ไม่ใช่แค่เรื่องของการเข้าถึง แต่คือ การเข้าถึงที่มีคุณภาพ มีความต่อเนื่อง และไม่ตกหล่นแม้แต่กลุ่มเปราะบางที่สุดของสังคม
.
6. Digital Health: อนาคตของประเทศ
.
รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่า “Digital Health” คือโครงสร้างพื้นฐานสุขภาพแห่งอนาคต โดยมีแผน 5 ปี (2568–2573) ดังนี้:
.
-เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั้งระบบด้วย HIE
-พัฒนา Cloud + AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนทุกระดับบริการ
-สร้างบุคลากรสุขภาพยุคใหม่ที่เข้าใจเทคโนโลยี
-ส่งเสริม HealthTech Startup และนวัตกรรมไทย
-ทำให้ “30 บาทรักษาทุกที่” เป็นโมเดลระดับภูมิภาค
-ให้บริการสุขภาพประชาชนแบบ 24 ชั่วโมง และทุกพื้นที่เข้าถึงได้
.
“สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการไม่ใช่เพียงแค่การจัดสรรงบประมาณหรือวางระบบใหม่ แต่คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบสุขภาพทั้งระบบ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ และมีความเท่าเทียมเป็นเป้าหมาย
.
Digital Health จึงไม่ใช่อนาคตที่เราคาดหวัง แต่คือ ปัจจุบันที่เราต้องลงมือทำ เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับบริการสุขภาพที่ดี มีคุณภาพ และเข้าถึงได้อย่างแท้จริง” สส.บัญชีรายชื่อ กล่าว
.
#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบ69