เปิดแผนจัดงบประมาณคลัง ควบคุมงบจ่ายประจำให้น้อยลง ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หวังดึงภาคเอกชนร่วมลงทุนมากขึ้นให้ถึงเป้า 34% ของ GDP

วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงในการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569

ถึงภาพรวมและยุทธศาสตร์การจัดงบประมาณของกระทรวงการคลัง เพื่อกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ 

นายพิชัยกล่าวว่า เป้าหมายหลักของจัดทำแผนงบประมาณปีนี้ จะมีการควบคุมการใช้จ่ายงบประจำให้น้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อดูว่าเราจะจัดงบอย่างไรในปีต่อๆไป เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ซึ่งยอดรวมของงบในปีนี้อยู่ที่ 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มมา 0.7% 

สำหรับงบประมาณ 157,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่จัดทำเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และสำหรับการกระตุ้นปีหน้า 25,000 ล้านบาท ในส่วนที่ผู้อภิปรายได้มีการตั้งคำถามถึงโครงการต่างๆ ที่อยู่ภายใต้งบประมาณส่วนนี้ ในหลาย ๆ โครงการอยู่เพียงขั้นตอนคำขอของหน่วยงานที่เสนอขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาถึงการจัดสรรงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง 

การจัดสรรงบประมาณในปี69 มียอดขาดดุลติดลบ 860,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้จะมีผลทำให้หนี้สาธารณะไม่เป็นปัญหาของประเทศ ให้ขาดดุลอยู่ที่ 4.3% ของ GDP จากปีที่แล้วอยู่ที่ 4.5% ซึ่งการตั้งงบการขาดดุลได้รวมยอดการคืนหนี้สาธารณะด้วยอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท ทำให้การขาดดุลสุทธิจากการที่งบประมาณตั้ง เหลือเพียง 3.5% ซึ่งใกล้เคียงกับสภาวะปกติที่ประเทศไทยจะขาดดุลอยู่ที่ 3.25% และในอีก 1-2 ปีจะเหลือ 3.6, 3.3 และ 3.1 ตามลำดับ

การจัดสรรงบประมาณนี้มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านการปรับเปลี่ยนการใช้ให้มีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าให้น้อย โดยงบรายจ่ายประจำ 70% ลดลงอยู่ที่ 28,000 ล้าน สามารถใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจจะมีบางส่วนที่ตั้งไว้แล้วไม่เพียงพอเลยมีการใช้เงินคงคลัง ซึ่งนโยบาย คือ ควรจะมีการควบคุมการใช้จ่ายงบประจำให้น้อยลงและมีประสิทธิภาพมาขึ้น และในส่วน 30% ที่เหลือได้นำไปคืนหนี้สาธารณะ 4% ส่วนที่เหลือไปใช้เรื่องอื่นๆ ทำให้งบลงทุนเหลือเพียง 23% (864,000 ล้านบาท) เป็นตัวเลขที่น้อยเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 19 ล้านล้าน – 20 ล้านล้าน 

นายพิชัยชี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณของภาครัฐเป็นสำคัญเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับภาคเอกชนและภาคประชาชนค่อนข้างมาก ในเรื่องการลงทุนที่เป็นภาคส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโต 6% มีการลงทุนทั้งภาครัฐ เอกชน เมื่อรวมสองส่วนอยู่ที่ประมาณ 50% 

ถ้านำการลงทุนรายจ่ายภาครัฐบวกกับการลงทุนภาคเอกชน จะพบว่าอยู่ที่ประมาณ 40% +/- เมื่อมีการลงทุนเยอะ  15-20 ปีที่ผ่านมา ภาคการเอกชนลงทุนค่อนข้างต่ำ รวมสองส่วนอยู่ที่ 23-24% แต่ การลงทุนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 34% ของ GDP หากทำให้เพิ่มขึ้นได้อีก 10% จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปตามเป้า 

การจะทำให้เอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น คือ เพิ่มความมั่นใจที่เกิดจากคนในประเทศ รัฐบาลมีงบที่ตั้งเป้าไว้ จึงอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าเมื่อใช้งบไปแล้วจะเกิดการลงทุนทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรมนุษย์ มีการลงทุนในระบบโลจิสติกส์  ได้แก่ ถนนรางท่าเรือสนามบิน มียอดงบประมาณอยู่ที่ 200,000 ล้านบาท ระบบน้ำบริโภคน้ำเพื่อการเกษตรและน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 134,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มหรือลดในส่วนของสินค้าเกษตร ให้ไม่ขาดทุน นอกจากนี้ยังมีมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบาย  เช่น การอำนวยความสะดวกกับทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชนเรื่องพลังงาน แก้ไขกฎระเบียบลดขั้นตอนการทำงานเพื่อการลงทุนที่รวดเร็วขึ้น

“การตั้งงบครั้งนี้เป็นการตั้งเพื่อจะมองไปงบประมาณในปีถัดไป เป็นการทำที่คำนึงการมุ่งเน้นให้โครงสร้างทางการเงินของประเทศเข้มแข็ง อยู่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับของทุกคนได้ และคำนึงถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประเทศ” นายพิชัย กล่าว