‘มาริษ’ มอบนโยบายประธาน JBC เจรจากัมพูชา 14 มิ.ย. นี้ ย้ำเดินหน้าเจรจาด้วยกลไกทวิภาคี ไม่ยอมเสียดินแดนแม้เพียงนิดเดียว

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงการต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมฝ่ายไทย (JBC) โดยระบุว่าได้มอบนโยบายแก่ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC และอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ก่อนการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

.

นายมาริษเน้นย้ำว่าการเจรจาต้องยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศไทย และจะไม่ยอมให้ไทยสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว พร้อมขอบคุณฝ่ายทหารที่สามารถลดระดับการเผชิญหน้าบริเวณชายแดนลงได้ และเสนอให้ใช้พื้นที่พิพาทเป็น “เขตร่วมอยู่ร่วมกันโดยสันติ” เพื่อลดความตึงเครียดอย่างยั่งยืน

.

สำหรับกลไกในการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายทั้ง 3 กลไก JBC, GBC และ RBC เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และอยากให้ทั้งหมดนี้ต่อยอดขยายผลจากที่ทางฝ่ายทหารได้ทำไปแล้ว และอยากให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ย้ำมาตลอด 

.

การประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วม ในวันที่ 14 มิ.ย. 68 นี้ คาดหวังให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องเขตแดน และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน

.

ขอให้ประธาน JBC ยึดถือไว้ว่าการเจรจาต้องยืนยันในอธิปไตยของประเทศไทย และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดน แม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาดพร้อมยืนยันว่าประเทศไทยคิดว่าการแก้ไขปัญหาระหว่างกันภายใต้การปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีกลไกการแก้ไขปัญหาในหลายวิธี แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือกลไกทวิภาคีซึ่งมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมที่สุด ดังนั้นไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน

.

ขณะเดียวกันกลไกทางการทูตที่กระทรวงการต่างประเทศใช้ ก็ส่งเสริมหรือช่วยเหลือให้การเจรจาของฝ่ายทหารบรรลุผลได้เป็นอย่างดี ดังนั้นที่ผ่านมาได้ใช้กลไกที่ถูกต้องคือการหารือทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งสามารถลดความตึงเครียดในบริเวณพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันจนเป็นการลดการเผชิญหน้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริเวณที่มีพื้นที่ไม่ชัดเจนเป็นพื้นที่ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และไม่ก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันอีก

.

อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทัพไทยมีศักยภาพที่จะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันได้อย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันการใช้นโยบายการต่างประเทศหรือนโยบายการทูตจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการส่งเสริมให้มีมาตรการทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านการปฏิบัติ และการบริหารสามารถที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศและทำให้การใช้กลไกในการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี 

.

ในประเด็นที่กัมพูชามีท่าทีอาจส่งข้อพิพาท 4 จุดไปยังศาลโลก นายมาริษกล่าวว่า ไทยยังคงยึดแนวทางการเจรจาโดยตรงระหว่างสองประเทศ พร้อมเผยว่าไทยได้ชี้แจงจุดยืนและข้อเท็จจริงให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงชาติสมาชิกอาเซียนรับทราบอย่างต่อเนื่อง

.

นอกจากนี้ แม้กัมพูชาจะเดินหน้าพูดคุยกับประเทศที่ 3 แล้ว แต่ประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะในการชี้แจงจุดยืนและอธิบายให้เห็นถึงข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของอาเซียน มิตรประเทศต่าง ๆ รับรู้การดำเนินงานของไทยอย่างชัดเจน กับทุกประเทศที่คิดว่ามีความสามารถที่จะเข้าใจในจุดยืน และข้อเท็จจริง

.

ทั้งนี้ นายมาริษ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับผลการประชุมคณะกรรมาธิการ JBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย. 68 จะมอบหมายให้โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศหรือโฆษกของกรรมาธิการ JBC เป็นผู้แถลงผลตามลำดับต่อไป

.

#พรรคเพื่อไทย