‘ไทย’ ย้ำ ‘ไม่รับเขตอำนาจศาลโลก’ ผิดหวังกัมพูชาเมินกลไกทวิภาคี เผยยังไม่ได้รับคำร้องอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าหารือผ่าน JBC สมัยพิเศษ ก.ย.นี้

วันที่ 16 มิถุนายน 2568  กระทรวงการต่างประเทศจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14–15 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการย้ำจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อกรณีที่กัมพูชาเตรียมนำข้อพิพาทบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

.

รัฐบาลไทยระบุว่า ไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นจุดยืนร่วมกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติอีกกว่า 118 ประเทศ และเห็นว่าแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขข้อพิพาทควรดำเนินการผ่าน กลไกทวิภาคี ที่มีอยู่แล้วระหว่างสองประเทศ อาทิ JBC, GBC และ RBC โดยไทยยืนยันการยึดมั่นในหลักสันติวิธีตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ

.

[ไทยจริงใจ – กัมพูชาเลี่ยงหารือ] 

.

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวในนามกระทรวงการต่างประเทศว่า การประชุม JBC ครั้งล่าสุด ไทยได้เข้าร่วมด้วยความจริงใจและสุจริตใจเพื่อแสวงหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ แต่รู้สึก “ผิดหวัง” ที่กัมพูชาเลือกจะไม่หารือพื้นที่พิพาททั้ง 4 จุดภายในเวที JBC และหันไปใช้แนวทางการยื่นต่อ ICJ แทน

.

นิกรเดช กล่าวต่อว่า “เรื่องเขตแดนเป็นประเด็นทางเทคนิคที่อยู่ในกรอบของ JBC มาโดยตลอด” และไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุม JBC สมัยพิเศษในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับแล้ว

.

ในประเด็นมาตรการตอบโต้ นิกรเดชย้ำว่าไทยใช้แนวทางระมัดระวัง ไม่ใช้อารมณ์หรือยกระดับความขัดแย้ง โดยรัฐบาลไทย “ไม่มีเป้าหมายโจมตีประชาชน” และจะไม่ยอมให้ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกนำมาใช้ในทางการเมืองภายใน พร้อมเตือนว่า การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียไม่ใช่ช่องทางที่เป็นทางการ และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง

.

ในช่วงถามตอบ นิกรเดชชี้แจงกรณีการแถลงข่าวของไทยล่าช้า เพราะคณะผู้แทน JBC เพิ่งเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ในค่ำวันที่ 15 มิ.ย. จึงเลือกออกแถลงการณ์กลางดึก และจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันถัดมา พร้อมเผยว่าเวลา 15.30 น. ของวันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจะจัดการชี้แจงข้อเท็จจริงแก่คณะทูตประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

.

[ไทยไม่เคยตกลงใช้แผนที่ 1:200,000 – JBC พัฒนาแนวปฏิบัติร่วม] 

.

ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC ฝ่ายไทย เปิดเผยว่า การประชุม JBC ครั้งนี้ ถือว่าราบรื่นที่สุดในรอบ 5 ครั้งที่ตนเคยเข้าร่วม โดยมีความคืบหน้าในการสำรวจและยืนยันหลักเขตที่เห็นชอบร่วมกันแล้ว 45 หลัก จากทั้งหมด 74 หลัก ซึ่งเป็นแนวทางที่สืบทอดจากการปักปันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6

.

ประศาสน์ ย้ำว่ากำลังเดินหน้าผลิตแผนที่ฉบับใหม่ร่วมกันผ่านเทคโนโลยี Orthophoto และ LIDAR เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปักเขตแดน โดยไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับแผนที่ 1 : 200,000 ตามที่มีการกล่าวอ้างในบางสื่อ พร้อมระบุว่าแผนที่ที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติงานจริงคือมาตราส่วน 1 : 50,000 ซึ่งทั้งสองฝ่ายร่วมจัดทำ จึงมีผลผูกพันโดยธรรมชาติ

.

ประศาสน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่กัมพูชาหลีกเลี่ยงไม่หารือ 4 พื้นที่พิพาทในเวที JBC ทั้งที่ตนเคยมีบทบาทสำรวจพื้นที่จริง และเคยเสนอมาตรการ “ห้ามทำกิจกรรม” เพื่อลดความเสี่ยงต่อความตึงเครียดนั้น ถือเป็นเรื่องที่ “น่าเสียดาย” โดยเฉพาะในเมื่อการหารือทางเทคนิคสามารถช่วยลดโอกาสการปะทะได้จริง

.

เขายังกล่าวถึง สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ว่าเป็นกรอบทางกฎหมายที่ใช้ยึดถือในการเจรจา ไม่ใช่เพราะไทยตกลงโดยสมัครใจ แต่เพราะเป็นภาระผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และการอ้างแผนที่ฝ่ายเดียวไม่อาจมีผลผูกพันได้

.

[ยังไม่เห็นคำร้องกัมพูชา – ไทยตั้งทีมกฎหมายเตรียมพร้อมทุกด้าน] 

.

เบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุว่า จนถึงขณะนี้ไทย ยังไม่ได้รับคำร้องอย่างเป็นทางการจากกัมพูชา หรือศาลโลก และไม่ทราบรายละเอียดว่าใช้ฐานอำนาจใดในการยื่นฟ้อง

.

เบญจมินทร์ เปิดเผยว่า กรมได้ตั้งทีมกฎหมายเตรียมความพร้อมรับมือ และมีที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศระดับโลกให้ความเห็นร่วมด้วย พร้อมย้ำว่า การเข้าสู่กระบวนการ ICJ จะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่ายเท่านั้น โดยไทยได้ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503

.

เบญจมินทร์ ยังอ้างถึง MOU 2543 (MOU 43) ระหว่างไทย–กัมพูชา ว่าระบุไว้ชัดเจนว่า หากมีปัญหาในการตีความหรือการบังคับใช้ ต้องมีการหารือร่วมกันก่อน ไม่ใช่ดำเนินการฝ่ายเดียว ซึ่งการกระทำของกัมพูชาอาจถือว่า “ข้ามขั้นตอน” ตามหลักสากล

.

“ประเด็นข้อพิพาทชายแดนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยเวลา และแม้แต่ศาลโลกเองก็มักตัดสินในหลักการ และปล่อยให้คู่กรณีไปตกลงรายละเอียดภายหลัง จึงย้ำว่า การแก้ไขข้อพิพาทควรใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งยังดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

.

#พรรคเพื่อไทย