‘แพทองธาร’ เผยเบื้องหลังขัดแย้งกัมพูชา ปมไตรภาคีปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ – ย้ำไทยไม่เริ่มก่อน พร้อมปกป้องอธิปไตยเต็มที่
วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่กระทรวงวัฒนธรรม แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยยืนยันถ้อยแถลงของภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า การกระทำของกัมพูชาเป็น “อาชญากรรมขั้นรุนแรง” ขัดหลักมนุษยธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ต้องการให้เกิดขึ้น พร้อมดำเนินการทุกทางเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ก่อนที่กัมพูชาจะเปิดฉากยิงก่อนในวันที่ 24 กรกฎาคม
.
แพทองธารระบุว่า ขณะนี้แม้ตนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยตรง แต่ยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ได้บันทึกคลิปที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และอัปเดตข้อมูลร่วมกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งยืนยันว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องยุทโธปกรณ์” ไทยมีความพร้อม และการใช้เครื่องบิน F-16 เป็นไปตามความจำเป็น หลังฝ่ายกัมพูชายิงถล่มมาถึงแหล่งชุมชน กระทบต่อชีวิตประชาชน
.
“รัฐบาลและกองทัพยังคงประสานงานกันอย่างใกล้ชิด หากถามว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องให้ดูกันที่ภาคสนาม แต่รัฐบาลทำเต็มที่ในทุกขั้นตอนเพื่อปกป้องอธิปไตย เราไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก่อน และไม่ต้องการใช้ความรุนแรง แต่หากความรุนแรงมาถึงเรา ก็จะสู้ไม่ถอยเช่นกัน” แพทองธารกล่าว
.
ด้านกระทรวงการต่างประเทศ แสดงหลักฐานต่อประชาคมโลกว่า การกระทำของกัมพูชาขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกรณีการวางทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นชนิดใหม่ ตรวจพบในพื้นที่ลาดตระเวนที่เคยร่วมกันตรวจการณ์ แต่หยุดไปก่อนหน้านี้ จนทหารไทยได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลไทยยืนยันว่ามีหลักฐานครบถ้วน และได้เผยแพร่ต่อประชาคมระหว่างประเทศเพื่อให้รับทราบความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้น
.
ขณะเดียวกัน แพทองธารกล่าวถึงข้อสงสัยจากสื่อมวลชนต่างประเทศเกี่ยวกับ “ใครเริ่มก่อน” ว่า ไทยมีหลักฐานเชิงดิจิทัลเพียงพอ และตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในขณะที่โรงเรียนฝั่งไทยยังเปิดเรียนตามปกติ ฝั่งกัมพูชากลับให้หยุดเรียน จึงอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ล่วงหน้าถึงการปะทะ
.
ส่วนในประเด็นที่มีกระแสครหาทางการเมืองว่าเป็นการทะเลาะกันระหว่าง “สองตระกูล” แพทองธารชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง โดยย้อนเล่าถึงนโยบายการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างจริงจัง จนสามารถลดความเสียหายได้อย่างชัดเจน ทั้งในแง่จำนวนเหยื่อและมูลค่าความเสียหายที่ประชาชนถูกหลอก สูญเงินจากบัญชีธนาคาร
.
“เราเริ่มจากการตัดน้ำตัดไฟในฝั่งเมียนมาและลาว แล้วตั้งกลไกไตรภาคีร่วมมือกันปราบคอลเซ็นเตอร์ไทย-พม่า-ลาว โดยไม่ได้ปรึกษากัมพูชาล่วงหน้า จึงมีเสียงไม่พอใจเกิดขึ้น มีคนบอกว่า ‘โกรธ’ ว่าทำไมไม่แจ้งก่อน ซึ่งจริง ๆ เราก็โทรไปคุยส่วนตัวแล้ว และไม่ได้อัดคลิปการสนทนาไว้”
.
แพทองธารกล่าวว่า หลังจากฝ่ายไทยจะเชิญกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ฝ่ายกัมพูชากลับเสนอว่าควรทำแค่ไทย-กัมพูชาแบบทวิภาคี ไม่ต้องร่วมกับเมียนมาและลาว ซึ่งย้อนกลับไปดูอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจ จึงตั้งข้อสังเกตว่า “หรือว่าเราไปแตะผลประโยชน์บางอย่างของเขาโดยไม่รู้ตัว”
.
แพทองธารยืนยันว่า รัฐบาลไม่ว่าภายใต้สกุลชินวัตรหรือไม่ ก็จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเหล่านี้ ทั้งเรื่องคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด เพราะเป็นภัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนไทย และรัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
“ในบ้านเราอาจมีความเห็นต่างได้ แต่กับต่างประเทศต้องให้เป็นเสียงเดียวกันก่อน รอทะเลาะกันทีหลังได้ แต่เรื่องนี้คนไทยรักกันเองอยู่แล้ว เชื่อแบบนั้น” แพทองธารกล่าวทิ้งท้าย
.
#พรรคเพื่อไทย #แพทองธารชินวัตร #ประณามกัมพูชา #อาชญากรรมสงคราม #ปราบคอลเซ็นเตอร์

บทความที่เกี่ยวข้อง
