รัฐบาลแถลงดีลภาษีสหรัฐฯ จบที่ 19% เร่งต่อรองรายละเอียด–จัด Soft Loan พยุงผู้ส่งออก–วางเป้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
➡️ แจ้งผลเจรจาภาษี 19% พร้อมเตรียมมาตรการรองรับ
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า ไทยได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทยที่อัตรา 19% โดยถือเป็น “ข้อตกลงเบื้องต้น” ที่ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และจะต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม
ฝ่ายไทยได้เสนอ “กรอบความร่วมมือ” เพื่อใช้เป็นพื้นฐานของสัญญาในอนาคต ขณะเดียวกันไทยอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดสำคัญ เช่น กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) และ แนวทางการจัดสรรโควตานำเข้า ซึ่งจะต้องเปรียบเทียบกับข้อตกลงที่สหรัฐทำไว้กับประเทศอื่น เพื่อกำหนดจุดยืนที่เหมาะสม
พิชัยยืนยันว่า รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ชะลอการส่งออกช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา เช่น การจัดสรร สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้า ปรับโครงสร้างภาคผลิต และอุตสาหกรรมที่เปราะบาง พร้อมย้ำว่าสินค้าที่ใช้สิทธิภาษี 0% ยังต้องผ่านขั้นตอนตามกฎหมาย และอาจมีเงื่อนไขด้านปริมาณหรือช่วงเวลาผ่อนปรน
➡️ ชี้แจงมาตรการแลกเปลี่ยน เปิดตลาดสินค้า-พลังงาน–ตั้งเป้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
โดยก่อนหน้านี้ที่กระทรวงการคลัง พิชัยระบุว่า อัตราภาษี 19% ดังกล่าว จะมีผล ตั้งแต่ 7 ส.ค. 2568 โดยสินค้าที่อยู่ระหว่างขนส่งยังเสียภาษี 10% และหากพบว่าสินค้า “สวมสิทธิ์” จะถูกเก็บภาษี 40% ทันที พร้อมชี้ว่าแม้จะมีภาษี แต่ถือว่าไทยยังแข่งขันได้ เพราะประเทศคู่แข่งก็เผชิญอัตราใกล้เคียงกัน
ในการเจรจากับสหรัฐ ฝ่ายไทยเสนอเปิดลดภาษีนำเข้าสินค้ากว่า 10,000 รายการ โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยไม่มีผลิต เช่น เชอร์รี ลำไย ปลานิล รวมถึงสินค้าบางประเภทที่สหรัฐไม่ได้ผลิต เพื่อให้สหรัฐเห็นว่าไทยเปิดตลาดมากขึ้น ขณะที่สินค้าที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพด ไทยขอเวลาในการปรับตัว โดยจะใช้ระบบ โควตา และต้องมีใบรับรองคุณภาพ เช่น ห้ามเผา
กรณี หมูนำเข้า ไทยเปิดเพียงเล็กน้อย ไม่เกิน 1% ของความต้องการในประเทศ และจะมีการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้ม ส่วนในกลุ่มพลังงาน ไทยตกลงนำเข้า ก๊าซธรรมชาติ 1 ล้านตันจากสหรัฐในปี 2569 จากแผนรวม 15 ล้านตัน และอาจเพิ่มสัดส่วนนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐอีก 10% เพื่อลดต้นทุนพลังงาน
ไทยยังเตรียมเดินหน้าแผนจัดซื้อ เครื่องบินจากสหรัฐฯ สำหรับการบินไทยที่มีแผนซื้อเครื่องบินเล็กอีก 80–90 ลำใน 5–10 ปีข้างหน้า
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลจะเร่งแก้ไข อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) โดยใช้ระบบ One Stop Service ให้ขั้นตอนนำเข้าง่ายขึ้น
สำหรับประเด็นสินค้าสวมสิทธิ์ ที่สหรัฐฯ สงสัยว่าสินค้าจากไทยกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ อาจไม่เป็นของไทยแท้ รัฐบาลได้สั่งการให้กรมศุลกากรไทยทำงานร่วมกับฝ่ายสหรัฐ และให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลกระบวนการตรวจสอบต้นทาง และแหล่งผลิตของสินค้า
ในส่วนมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม นายพิชัยย้ำว่า ได้จัดสรร วงเงิน 10,000 ล้านบาท เติมเข้ากองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อจัดกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มที่ต้องการปรับปรุงเครื่องจักรหรือยกระดับเทคโนโลยี
พิชัยสรุปว่า การปรับตัวครั้งนี้คือโอกาสของไทยในการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 20% ของจีดีพีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เป็น 30–35% เพื่อให้ไทยหลุดพ้นกับดักโครงสร้างเดิม และคาดว่า จีดีพีไตรมาส 2 ปีนี้จะโตถึง 3% ได้อีกครั้ง แม้ไม่มี “ภาษีทรัมป์” ไทยก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี

บทความที่เกี่ยวข้อง

3 ส.ค. 2568 เวลา 10.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียด และการปะทะบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์จะคลี่คลายลง จากความพยายามในการเจรจาเพื่อยุติการปะทะของรัฐบาลไทย
อ่านต่อ
ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญทั้งภัยจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างรอบด้าน ทั้งการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง การบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่และกิจการของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย
อ่านต่อ