‘ปิยะรัฐชย์’ ย้ำต่อสภา! การให้กลุ่มชาติพันธุ์ มีส่วนร่วมและเปิดโอกาสให้เข้าถึงสิทธิพื้นฐานในฐานะพลเมืองได้อย่างเสมอภาค คือโอกาสสร้างสังคมเสมอภาคอย่างแท้จริง

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ได้มีมติครั้งประวัติศาสตร์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่ม  ชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ซึ่งผ่านการพิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมโดยวุฒิสภา โดยสภาผู้แทนราษฏรได้เห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 421 เสียง นับเป็นก้าวสำคัญในการตรากฎหมายว่าด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม สร้างความเสมอภาค และส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์

.

นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่าตลอดเวลา 1 ปีที่ได้ร่วมผลักดันกฎหมายดังกล่าวร่วมกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ มีหลายครั้งที่ต้องเจอกับคำถามว่า เมื่อมีกฎหมายให้ความคุ้มครองคนไทยทุกคนอย่างเสมอภาคอยู่แล้ว ทำไมต้องมีกฎหมายเฉพาะสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นมาอีก

.

นางสาวปิยะรัฐชย์ กล่าวว่า แม้หลักการกฎหมายจะให้สิทธิเท่าเทียมกัน แต่จะเป็นไปได้ถ้าทุกคนมีขีดความสามารถและเงื่อนไขการเข้าถึงสิทธิได้เสมอภาคเท่ากัน แต่กลุ่มชาติพันธุ์ ยังต้องเผชิญอุปสรรคเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องการไร้สถานะทำให้เข้าถึงการศึกษา สาธารสุข และรวมถึงปัญหาที่ดินทำกิน ที่กระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรม รวมถึงการตีตราจากความไม่เข้าใจถึงความต่างทางวัฒนธรรม ทำให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถคุ้มครองพี่น้องชาติพันธุ์ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดจนทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา

.

“ดังนั้น จึงขอกล่าวย้ำกฎหมายฉบับนี้ว่า กม.ชาติพันธุ์ ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อให้สิทธิพิเศษกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ร่างกม.นี้จะเป็นเครื่องมือปรับระดับสนามแข่งขันที่ไม่เท่ากันให้เรียบเสมอกัน เพื่อให้พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ได้ใช้สิทธิพื้นฐานได้เท่าเทียมพลเมืองไทยคนอื่นทั่วไป” 

.

นางสาวปิยะรัฐชย์ กล่าวต่อว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ใช่การสร้างสิทธิใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองของรัฐบางมุมมองจากเดิมที่มองกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านแว่นของความมั่นคง เปลี่ยนไป เป็นมุมมองที่ยอมรับและเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรม แล้วหันมามองกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะประชาชน ในฐานะหนึ่งในฟันเฟืองในการพัฒนาประเทศ ซึ่งกฎหมายที่เรามีอยู่เดิม อาจจะไม่เพียงพอ เพราะกฎหมายที่เรามีอยู่ถูกสร้างขึ้นภายใต้กรอบความคิดแบบเดิม ที่อาจไม่ตอบโจทย์ความท้าทายของสังคมพหุวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 21 อีกต่อไป

.

กฎหมายนี้สร้างเอกภาพบนความหลากหลาย รักษาสมดุลของความเป็น “ชาติ” และ “ชาติพันธุ์”  ซึ่งตนเองเข้าใจดีถึง ถึงข้อกังวลของหลายหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความมั่นคง หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอันที่จริงตลอดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้  ทั้งในชั้นกรรมาธิการ รวมถึงการพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลายต่อหลายครั้งก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะถูกส่งไปให้วุฒิสภาได้พิจารณา  

.

ประเด็นข้างต้น ที่พวกเราคณะกรรมาธิการทุกท่าน ได้ร่วมกันพิจารณา ถกแถลง และหาทางออกร่วมกันอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ และรักษาเอกภาพของชาติ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะไม่นำไปสู่ปัญหาความมั่นคงของชาติ แต่ในทางตรงกันข้าม ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะช่วย “เสริมสร้างเอกภาพ” ของชาติให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะเอกภาพที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการบังคับให้ทุกคนต้องเหมือนกัน แต่เกิดจากความยุติธรรมและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชาติ 

.

ในส่วนของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่หลายฝ่ายกังวลถึงเรื่องการกำหนดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ นั้น ด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงที่อยู่ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตั้งแต่มาตรา 37-42 ว่า แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการ “ยกที่ดิน” ของรัฐให้เป็นของชุมชน  แต่เป็นการสร้างเขตพื้นที่ทางกฎหมายรูปแบบใหม่ที่ยอมรับการดำรงอยู่ของชุมชนพ่อแม่พี่น้องชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่ ที่ทับซ้อนกับเขตป่าอนุรักษ์ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการทำข้อกำหนดร่วมกันในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืนด้วยกระบวนการที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกลไกนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองจากการเผชิญหน้าไปสู่การสร้างความร่วมมือ เพื่อสร้าง “พันธมิตรในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

แล้วเราจะได้คนอีกนับล้าน ที่รักและผูกพันผืนป่ามาช่วยดูแลทรัพยากรของชาติ โดยอาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สั่งสมมานับร้อยปีในการอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน นี่คือประโยชน์ที่สังคมไทยและเราทุกคนจะได้รับจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้

.

“การผ่านร่างพระราชบัญญัติชาติพันธุ์ ฉบับนี้ในช่วงเวลาอันมีความหมายอย่างยิ่งใหญ่นี้ จะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ พร้อมโอบรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค ยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกกลุ่มคน โดยมีสาระสำคัญในการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และเปิดโอกาสให้พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมืองไทยได้อย่างเสมอภาค นี่คือโอกาสที่เราจะร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกัน สร้างสังคมแห่งความเสมอภาคอย่างแท้จริง” นางสาวปิยะรัฐชย์ กล่าว

.

ขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป และถือเป็นการก้าวของสังคมไทยในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

.

#พรรคเพื่อไทย

#กลุ่มชาติพันธุ์