‘สส.ชลน่าน’ ลั่น นับหนึ่งสิ้นสุดระบอบรัฐสภา เลือกนายกฯ ต้องชอบด้วยหลักประชาธิปไตย ชอบด้วยหลักรัฐธรรมนูญ MOA อาจเข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง
วันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ร่วมกล่าวอภิปรายข้อสังเกตการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า ข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย โดยการทำข้อตกลงร่วม MOA 5 ประการ ซึ่งการเลือกบุคคลหรือให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวนี้ ตนคิดว่าในการพิจารณาของสภาแห่งนี้มีประเด็นพิจารณาอยู่ 2 เรื่องหลัก คือ คุณสมบัติลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่ง และกระบวนการซึ่งได้มาในการนำเสนอบุคคลที่เข้าสู่ตำแหน่ง โดยตนเน้นในประเด็นที่สอง เพราะเกี่ยวเนื่องกับสภาของเราโดยตรง ถ้ากระบวนการที่ได้มาไม่ชอบ ซึ่งจะมีผลมากกว่าคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการคัดเลือก
.
นพ.ชลน่านกล่าวว่า ข้อตกลง 5 ข้อที่ระบุให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรคประชาชนไม่เข้าร่วม ครม. และห้ามรวมเสียงข้างมาก ถือเป็นการบิดเบือนหลักเสียงข้างมากของระบอบรัฐสภา พร้อมตั้งคำถามว่า หากฝ่ายค้านเป็นผู้คุมรัฐบาลจริง จะตรวจสอบอย่างไรในเมื่อผู้นำฝ่ายค้านต้องอยู่ใน 2 สถานะ ทั้งโหวตนายกฯ และทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
.
“การกระทำเช่นนี้คือการทำลายหลักพื้นฐานประชาธิปไตย และเป็นการ “ยอมรับอำนาจนอกระบบ” ที่เข้ามาครอบงำและชี้นำการเมืองในสภา พร้อมเตือนว่า หากชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับความเห็นชอบเป็นนายกฯ นั่นเท่ากับเป็นการ “นับหนึ่งวันสิ้นสุดระบอบรัฐสภา”
.
นพ.ชลน่านกล่าวว่า พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 46 ที่ห้ามไม่ให้มีการดำเนินการเพื่อหวังประโยชน์โดยมิชอบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การทำ MOA อาจเข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง และกระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ คนใหม่อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
.
“ผมไม่ได้ต้องการขัดขวางการมีนายกรัฐมนตรี แต่กระบวนการต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ก็ควรชะลอการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลจะวินิจฉัยเสร็จสิ้น เพื่อไม่ให้สภาก้าวพลาดไปสู่การกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ” นพ.ชลน่านกล่าว
.
#พรรคเพื่อไทย #ชลน่านศรีแก้ว
