น้ำเงินอาจได้แค่ยุบสภา 4 เดือน ที่เหลือไม่ได้อะไรเลย ถามหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จริงใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ชูศักดิ์ ศิรินิล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงนโยบายรัฐบาล ในประเด็นของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดช่องทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แต่ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดชูศักดิ์ได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเข้าใจกันว่ารัฐบาลนี้ ได้ทำข้อตกลงหรือ MOA กับพรรคการเมือง ว่าจะมีการยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังจากมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรภายใน 45 ถึง 60 วัน และหลังจากมีการเลือกตั้งเสร็จแล้ว กกต. จะมีเวลาในการรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน และเมื่อรับรองสมาชิกสภาผู้แทนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในท้ายที่สุดก็จะต้องมีการฟอร์มคณะรัฐมนตรี ซึ่งก็อาจจะใช้เวลานานพอสมควร ฉะนั้นที่มีการระบุว่าเป็นรัฐบาลเพียง 4 เดือนนั้น ในความจริงแล้วจะมีระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลมากกว่านั้น อาจจะนานถึง 8 เดือน หรืออาจจะนานถึง 1 ปีก็ได้
“แต่สิ่งที่ได้ไปจากการทำข้อตกลงลักษณะนี้ ในท้ายที่สุดใครคือพรรคการเมืองที่รักษาการในช่วงที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราทราบกันดี”
ข้อสังเกตประการที่สอง ชูศักดิ์ระบุว่า รัฐบาลชุดนี้เขียนนโยบายไว้ทั้งหมด 15 ข้อ แต่ถือเป็นเรื่องที่แปลกที่มีการระบุว่ารัฐบาลนี้จะไม่ทำอะไรบ้าง โดยมีการระบุว่าจะไม่มีการทำนโยบายเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่มีธุรกิจการพนันผนวกเข้าไปด้วย จะไม่มีการทำนโยบายการกีฬาที่ผสมด้วยการพนันเช่นโป๊กเกอร์ เป็นต้น
“ผมเข้าใจดีครับว่าเรื่องเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ก็เป็นจุดที่เรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันตอนที่เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันในขณะนั้น“
“แต่ถ้าให้ดีท่านก็ควรระบุไว้ในการแถลงนโยบายไปเลยว่าท่านจะไม่ทำเรื่องเหล่านี้ด้วย เช่นการเข้าไปแทรกแซงกระบวนการเพิกถอนสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง การแทรกแซงกระบวนการทางคดีฮั้ว สว. จะได้ไม่ต้องมีการประท้วงกันให้วุ่นวายเหมือนช่วงที่ผ่านมา หากเขียนกันไปให้ชัดเจนแบบนี้ก็จะจะได้ไม่ต้องมีใครมาถามอะไรให้มากมาย”
ส่วนข้อสังเกตประเด็นสุดท้าย ชูศักดิ์ระบุว่า หลายคนยังแปลกใจอยู่ที่นโยบายของรัฐบาลชุดนี้กลับไม่มีการพูดถึงเรื่องกัญชาเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่านโยบายกัญชาเสรีเป็นเรื่องที่ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชาวโลกพอสมควร ว่าเมืองไทยเป็นแหล่งผลิตกัญชาและจำหน่ายไปทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งทำให้ภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกไม่สู้ดีนัก
สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดช่องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ชูศักดิ์ ระบุว่า จากการที่ได้อ่านข้อตกลง ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย กลับอ่านนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีระบุเอาไว้เพียงสามบรรทัด ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ขาดความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากน้อยแค่ไหน
ข้อตกลงที่มีการทำกันไว้มีความยาวทั้งหมด 5 ข้อ ผมได้อ่านอยู่หลายครั้งหลายหนโดยเฉพาะในข้อที่ 3 ที่มีการเขียนว่า ให้มีความร่วมมือระหว่างคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยในการเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว
สาระสำคัญคือท่านขอสามประสาน แต่เมื่อเปิดดูนโยบายของรัฐบาล ได้มีการเขียนไว้แต่ไม่ได้อยู่ในนโยบาย 15 ข้อ มีเพียงการเขียนไว้ในช่วงอารัมภบทว่า รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน
ผมมีข้อสังเกตที่เป็นห่วงอยู่พอสมควร เพราะนโยบายที่เขียนไปกับข้อตกลงที่ได้มีการทำร่วมกันไว้นั้นดูไม่สอดคล้องกัน เพราะข้อตกลงที่ทำกันไว้ทำให้เข้าใจว่า คณะรัฐมนตรีพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จะต้องร่วมกันผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในเวลานี้คณะรัฐมนตรียังไม่มีท่าทีว่าจะเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมร่างและธรรมนูญเลย
มีเพียงแต่พรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคแกนนำที่เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่ยังไม่มีร่างของคณะรัฐมนตรี แต่ก็เข้าใจว่าท่านอาจจะอ้างว่าตอนนี้ยังบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้จึงยังไม่สามารถจะมีร่างของคณะรัฐมนตรีได้
การที่ไม่มีร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีจะนำมาสู่ปัญหาสำคัญคือ ในวาระที่ 1 2 และ 3 ของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องได้เสียงจากรัฐสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่งเป็นเงื่อนไขประการสำคัญ
และเมื่อสองสามวันนี้ได้พบเห็นการให้สัมภาษณ์ของหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ให้สัมภาษณ์ว่า ท่านไม่สนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ท่านจะรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้และไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สาเหตุที่มีการย้ำเรื่องนี้ เพราะในท้ายที่สุดหากเราจะผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมของทั้งสามพรรคการเมืองที่ได้มีการยื่นเสนอ ให้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมั่นใจได้หรือไม่ว่า พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดจะเห็นชอบกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่แต่ละพรรคนำเสนอ การที่มีการออกให้สัมภาษณ์เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า ยังไม่มีแนวทางของคณะรัฐมนตรี ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ นี่คือสาระสำคัญที่เป็นข้อวิตกกังวล
และนอกจากท่านจะต้องได้เสียงจากรัฐสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่งแล้ว ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือท่านจะต้องได้เสียงจาก วุฒิสมาชิกไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม ปัญหาที่ผมกังวลก็คือหากเราไม่สามารถผลักดันให้มีการผ่านร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ เราก็ทำได้เพียงปล่อยให้มีการเซ็นข้อตกลงกันไปโดยที่ได้เพียงแค่การยุบสภาภายใน 4 เดือนแต่รัฐธรรมนูญนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย ซึ่งปัญหาที่ตามมาอีกอันอย่างหนึ่งก็คือ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
เรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจรอคอยกันมานาน แต่เท่าที่ดูจากสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแล้ว คาดว่าจะมีพลังจากองค์กรต่างๆ ในการต่อต้าน ไม่ให้มีการเปิดทางเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยรวมแล้วสิ่งที่จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนี้ไม่ประสบความสำเร็จมาจาก 1.การได้รับเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 2.วุฒิสมาชิกไม่เห็นด้วยและได้เสียงไม่ถึงหนึ่งในสามของจำนวนวุฒิสมาชิกทั้งหมด 3.เกิดสถานการณ์บางอย่างแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเช่นมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไปรวบรวมเสียงและยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาอีกครั้ง หรือในท้ายที่สุดอาจมีขบวนการต่อต้านลักษณะอื่นเกิดขึ้น จนทำให้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ
คำถามสำคัญคือหากมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ พรรคไหนจะต้องรับผิดชอบหากเกิดเหตุการณ์นั้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมสังเกตได้จากสัญญาณต่างๆ จากการรับฟังทั้งหลายทั้งปวง ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

บทความที่เกี่ยวข้อง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง สรุปการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยืนยันว่ารัฐสภาควรรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง และควรเลือกร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลัก เพราะร่างของพรรคเพื่อไทยมีความยึดโยงประชาชน สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มี สสร. มาเป็นกรรมการยกร่าง
อ่านต่อ