“ก่อแก้ว” ชำแหละรัฐธรรมนูญพิษจากรัฐประหาร 2549–2560 ทำลายระบบการเมือง-สืบทอดอำนาจ คสช. ย้ำ “เพื่อไทย” แก้ต่อเนื่องแต่ถูกขัดขวาง หวังรอบนี้สำเร็จ หนุนร่างพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก เห็นต่างต้องไม่ล็อกสเป็ก ส.ส.ร. ต้องอิสระไม่ถูกครอบงำ

วันนี้ (14 ต.ค. 2568) ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายต่อรัฐสภา ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย 3 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดยชี้ว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นฉบับที่สร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่ชื่นชมทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่การรัฐประหารปี 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) คือจุดเริ่มต้นของการทำลายอนาคตประเทศ ทำลายความหวังของประชาชน และหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่ความเจริญ ตนและแนวร่วม นปช. ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง หลายคนถูกดำเนินคดีและจำคุก รวมถึงตนเองก็เคยต้องขึ้นศาลหลายครั้ง เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน

ก่อแก้วกล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็น “ผลไม้พิษของ คมช.” ที่สร้างระบบตุลาการภิวัตน์เข้มข้น จนทำลายระบบการเมือง เช่น การปลดนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช เพียงเพราะทำกับข้าวออกโทรทัศน์ อีกทั้งเปิดทางให้กองทัพแทรกแซงการบริหาร พลเรือนโยกย้ายทหารไม่ได้อย่างอิสระ และเมื่อเกิดรัฐประหารปี 2557 ก็ยิ่งซ้ำเติมประเทศให้ตกต่ำ จนนำมาสู่รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ก่อแก้วเรียกว่า “พิษยิ่งกว่าเดิม” เพราะเป็นรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ คสช. ผ่านวุฒิสภาแต่งตั้ง การเลือกตั้งไม่เสรี ประชามติปี 2559 เชียร์ได้เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายเห็นต่างถูกจับกุม นายกฯไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ได้ มาตรฐานจริยธรรมเปิดช่องลงโทษย้อนหลังถึงตลอดชีวิต ขัดหลักสิทธิมนุษยชน และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งไร้อิสระทางนโยบาย ส่งผลให้รัฐบาลอ่อนแอ บริหารยาก และประเทศพัฒนาไม่ได้อย่างต่อเนื่อง

ก่อแก้วกล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2555 ที่พยายามเสนอแก้ทั้งฉบับแต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสกัด ต่อเนื่องถึงปี 2556 ที่เสนอให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งหลังรัฐประหาร 2557 พรรคยังคงผลักดันในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยเสนอแก้มาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ไม่ผ่านเพราะไม่ได้รับเสียงจากวุฒิสภาตามที่กำหนด มีเพียงการแก้ไขระบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบในปี 2564 ที่สำเร็จภายใต้กรอบจำกัดของ คสช. ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำได้ แต่ต้องผ่านประชามติก่อน จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการยกร่างใหม่

ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน – แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ โดยตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางประชามติโดยมีภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน ซึ่งได้ข้อสรุปว่าควรจัดประชามติ 3 ครั้ง และได้เสนอแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เพื่อให้ขั้นตอนง่ายขึ้น แม้ถูกวุฒิสภาคว่ำและยืดเวลาออกไปถึงปี 2568 แต่พรรคเพื่อไทยยังคงร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคประชาชนเสนอแก้มาตรา 256 อีกครั้ง เพื่อเปิดทางจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อ 10 กันยายน 2568 ว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง และไม่ให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร. โดยตรง

ก่อแก้วย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยถ่วงเวลา ไม่เคยดึงเกม แต่ถูกขัดขวางโดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น พร้อมแสดงความหวังว่าความร่วมมือของ 3 พรรคในครั้งนี้จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมประกาศสนับสนุนให้ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็น “ร่างหลัก” ในการพิจารณา เพราะเป็นร่างที่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีที่มาของ ส.ส.ร. ที่หลากหลายและอิสระ ไม่ให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าครอบงำ 

ก่อแก้วย้ำปิดท้ายว่า “ส.ส.ร. ต้องมาจากทุกภาคส่วน และไม่มีใครสามารถชี้นำได้อีกต่อไป หากต้องการเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นในประเทศนี้“

#พรรคเพื่อไทย #แก้ไขรัฐธรรมนูญ