‘จุลพันธ์’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ประกาศพร้อมยกเครื่องเพื่อไทย เดินหน้านโยบายเพื่อประโยชน์ประชาชน เชื่อมี 10 ล้านคนให้กำลังใจ หนุนพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง กลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง
วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ที่สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อไทย กรุงเทพฯ มีการจัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2568 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และเลือกกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เพื่อไทย โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้มอบดอกไม้แสดงความยินดีกับหัวหน้าพรรคคนใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สวัสดีสมาชิกทุกคน และว่าที่ สส.จำนวนมาก วันนี้ตนเอง และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ขอกราบขอบพระคุณในการประชุมวันนี้ ที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับพวกเรา ในการเข้ามาขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทย เป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดของพวกตน ที่มีโอกาสได้เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ ณ จุดนี้ ตนเองอยู่กับเพื่อไทยมาตั้งแต่รุ่นของพรรคไทยรักไทย ครึ่งชีวิตของตนเอง มากกว่า 25 ปี ที่ได้ทำงานในสายการเมืองร่วมกับพรรคการเมืองพรรคนี้ เรามีความทรงจำมากมายที่เราผ่านมาด้วยกัน ทั้งความสำเร็จ อุปสรรค ไม่ใช่ที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน ทุกท่านคงทราบดี เราผ่านการต่อสู้ทางการเมืองทุกรูปแบบ ทั้งบนถนน และในสภา แต่เรายังคงอยู่มาได้ เราผ่านการรัฐประหาร ผ่านการตัดสิทธิผู้บริหารพรรค
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีโดนถอดถอนหลายครั้ง เขาพยายามปิดปากพวกเรา แต่พวกเรายังคงอยู่ เรายังคงสู้ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวัน ที่เราส่งไม้ต่อเพื่อการเดินหน้าพรรคการเมือง เพื่อการเดินหน้านโยบาย เพื่อประโยชน์ของประชาชน และในวันแรกที่พวกเรามาพร้อมกัน ในนามของพรรคไทยรักไทยในอดีตนั้น พวกเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ความเชื่อ มีแต่ความหวังว่านโยบายที่ดี จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับชีวิตพี่น้องประชาชนได้ เราเป็นพรรคการเมืองแรก ที่นำเสนอนโยบายที่สามารถกินได้ จับต้องได้ จนประชาชนให้การยอมรับ วันนี้ต้องเรียนว่าจิตวิญญาณนั้น ยังคงอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ทุกคน เรายังคงยึดมั่นในคำว่าหัวใจคือประชาชน
ภายนอกทั้งสื่อ และสังคม ส่งสัญญาณมาว่าพรรคเพื่อไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลง ตนเองเห็นด้วยเพราะโลกเปลี่ยนทุกวันการเมืองไทยปรับเปลี่ยนตลอดเวลา พี่น้องประชาชนมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้การยกเครื่องพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางที่จำเป็นต้องเดิน เราในฐานะพรรคการเมืองเราผ่านมาทางประสบการณ์ที่เป็นความประทับใจ เป็นความสำเร็จที่เราจะต้องจดจำ แต่แน่นอนว่าเราผ่านบาดแผลที่เราจะต้องเรียนรู้และแก้ไข เราแบกรับความหวังของพี่น้องประชาชน เราแบกความเชื่อมั่นของประชาชนที่เลือกเรามาโดยตลอด สิ่งเหล่านี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับสมาชิกพรรคมาโดยตลอด และเราจะยึดมั่นกับพี่น้องประชาชน เพื่อนำพานโยบายที่เป็นประโยชน์คืนกลับให้ประชาชนทุกคน
แนวทางของพรรคในวันนี้ เราพร้อมที่จะยกเครื่อง อย่างแรกคือการสื่อสารกับประชาชน จะต้องรวดเร็วทันการณ์ และจะต้องเข้าถึงประชาชนได้อย่างทันท่วงที ในส่วนของผู้สมัคร เราต้องคัดผู้สมัครเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะมาถึง ให้เป็นผู้สมัครที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการของพี่น้องประชาชน และในส่วนของนโยบาย เราต้องย้อนกลับอย่างนโยบาย ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกใจ และสามารถตอบโจทย์ประชาชนได้
“นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายเลย แต่ผมไม่ได้อยู่คนเดียว ผมมีพวกเราที่อยู่ในห้องนี้ทุกคน และยังมีความเชื่อมั่นว่า เรายังมีพี่น้องประชาชนอีกนับ 10 ล้านคนที่จะคอยเป็นกำลังผลักดันให้กับเพื่อไทย ในการเดินหน้าในการนำพาพรรคเพื่อไทยไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลในครั้งถัดไปให้ได้” นายจุลพันธ์กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองขอกำลังจากเราทุกคน ให้ร่วมมือร่วมใจ และที่สำคัญที่สุด ขอเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย เชื่อมั่นในแนวทางที่เรายึดมั่น แล้วเราจะนำพาและประเทศไทยไปสู่ความสำเร็จในอนาคตที่สดใสต่อไป
#พรรคเพื่อไทย #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #หัวหน้าพรรคเพื่อไทย #ยกเครื่องเพื่อไทย
 
															 
															 
															 
															บทความที่เกี่ยวข้อง
 
                                  
                ‘ดนุพร’ เรียก 7 บริษัทในตลาดหุ้น ให้ข้อมูลเอี่ยวสแกมเมอร์ เชิญ ก.ล.ต.-ปปง. ร่วมสอบ
อ่านต่อ 
                                  
                นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบน x ตั้งคำถามถึง MOU แร่แรร์เอิร์ธ ที่รัฐบาลไทย ไปลงนามกับสหรัฐฯ โดยมีข้อกังวลว่าไทยได้ประโยชน์อะไรจาก MOU ฉบับนี้ พร้อมชี้ให้เห็นว่า การไปลงนาม MOU ดังกล่าวโดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรีหรือรัฐสภาก่อนนั้นอาจขาดความรอบคอบ รัดกุม เสี่ยงต่อการเสียอำนาจการต่อรอง และหากลงนามกันแต่บอกว่าไม่ผูกพันยิ่งทำให้ประเทศเสียความน่าเชื่อถือบนเวทีโลก โดยนายศึกษิษฏ์ ได้เขียนข้อความดังนี้
อ่านต่อ 
                                  
                 
                                   
                                   
                                   
                                  