“มาริษ” ห่วงท่าทีแข็งกร้าว “อนุทิน” กรณีกัมพูชา แนะใช้ “วุฒิภาวะทางการทูต” เปลี่ยนเกมกลับเป็น “โลกล้อมกัมพูชา”

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความกังวลอันแข็งกร้าวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต่อกรณีการตอบโต้กัมพูชา โดยเสนอแนะว่าการรักษาและปกป้องอธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำและทุกรัฐบาลก็ยืดหลักนี้มาอย่างเคร่งครัด แต่การแสดงจุดยืนจะต้องแสดงอออก “อย่างมีวุฒิภาวะทางการทูต” ต้องใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมกัมพูชา โดยมีข้อความดังนี้

.

“ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนี้ผมมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่กำลังลุกลามและมีความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างชัดเจน”

.

จากรายงานของกองทัพบก เราเห็นพฤติกรรม รื้อรั้วลวดหนาม–ลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็น เขตอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์ และนำไปสู่การบาดเจ็บของทหารไทยถึง 4 นาย

แต่สิ่งที่น่าห่วงไปกว่านั้นคือ แถลงการณ์ล่าสุดของ นายฮุน มาแน็ต ที่ บิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวหาไทยว่า “ยิงก่อน” และถึงขั้นกล่าวอ้างว่าไทย “วางทุ่นระเบิดทำร้ายทหารตัวเอง” เพื่อสร้างสถานการณ์ พร้อมเร่งเดินเกมฟ้องร้องไทยในทุกเวที ไม่ว่าจะเป็น UN หรืออาเซียน

.

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็น การละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา และ อนุสัญญาออตตาวา เท่านั้น แต่ยังเป็นความพยายาม เปลี่ยนสถานะผู้ละเมิดให้กลายเป็นผู้ถูกกระทำ บนเวทีโลก 

.

และที่น่าห่วงกังวลมากขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีฯ เยี่ยมนายทหารที่บาดเจ็บ และให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว ปฏิเสธที่จะรับฟังและไม่ต้องการหารือกับมิตรประเทศใดๆ ท้าทายประเทศมหาอำนาจโดยไม่มีความจำเป็น เสี่ยงทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ ขณะที่กัมพูชาได้เล่นเกมรุกสร้างข่าวที่บิดเบือนฟ้องร้องประชาคมโลกว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกรานก่อนในทุกๆ เวที

.

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน

.

1) ประณามการละเมิดอธิปไตยไทยอย่างเป็นทางการ

.

ไทยต้องประกาศจุดยืนให้ชัดว่า กัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพ  การตอบโต้ของไทยเป็น สิทธิในการป้องกันตัวตามกฎหมายระหว่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ต้องทำทันทีเพื่อไม่ให้ความจริงถูกกลบด้วยข้อมูลบิดเบือน

.

2) เดินหน้า “การทูตเชิงรุก” 

.

ไม่ใช่ปิดประตูใส่โลก โดยไทยต้องรีบ 

(1) ประสานมาเลเซียและฟิลิปปินส์ในฐานะอดีต/ว่าที่ประธานอาเซียน 

(2) พูดคุยกับสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันและสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิง 

(3) เร่งชี้แจงต่อ UN อย่างชัดเจนเพื่อสกัดเกมของกัมพูชา และให้ UN มีมติให้ทั้งสองประเทศแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกันเอง โดยใช้กลไกของอาเซียน เหมือนครั้งที่รัฐบาลเพื่อไทยได้รณรงค์จนประสบความสำเร็จไปแล้ว 

(4) ใช้เวทีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญากรุงออตตาวา โดยเฉพาะการประชุมครั้งที่ 22 ของรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาซึ่งจะมีขึ้นที่นครเจนีวาในเดือนธันวาคม 2568 ชี้แจงความชอบธรรมของไทย 

.

นี่คือการกลับไปสู่ยุทธศาสตร์ที่ ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วจาก “โลกล้อมกดดันไทย” ให้กลายเป็น “โลกล้อมกดดันกัมพูชา” แต่ยุทธศาสตร์นี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อไทย ไม่ปิดกั้นการหารือและชี้แจงกับมิตรประเทศ และไม่ใช้ท่าทีที่ท้าทายกับประเทศมหาอำนาจ

.

3) ปกป้องชีวิตทหารไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

รัฐบาลควรเร่งจัดหาและร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อ ใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด ใช้ surveillance ตามแนวชายแดน ขอรับการสนับสนุนหน่วยสุนัขค้นหาทุ่นระเบิดจากรัฐภาคีออตตาวา เพื่อให้การทำงานของทหารปลอดภัยที่สุด และลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด

.

4) แก้ต้นตอของปัญหา—ปราบอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งสแกม ความตึงเครียดไทย–กัมพูชาไม่อาจแก้ได้ หากยังมีปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ การค้ามนุษย์และเครือข่ายอาชญากรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นตัวหล่อเลี้ยงความขัดแย้ง ไทยต้องแสดงบทบาทนำในการสร้างความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง, อาเซียน และในกรอบขององค์การสหประชาชาติ UNODC เพื่อทำลายวงจรเงินผิดกฎหมายอย่างจริงจัง และช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ตามแผนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้และทำสำเร็จมาแล้วบางส่วน

.

โดยสรุป

.

(1) ไทยต้องปกป้องอธิปไตยอย่างเด็ดขาด “แต่ต้องทำด้วยวุฒิภาวะทางการทูต” ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่สร้างความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น 

(2) เราอย่าให้กัมพูชาพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ถูกรังแกบนเวทีโลก — เราต้องเปลี่ยนเกมให้กลับไปสู่ ‘โลกล้อมกัมพูชา’ เหมือนที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้ว 

(3) รัฐบาลจะต้องไม่ผลักมิตรประเทศให้ออกห่าง และกลับมาใช้พลังของการทูตควบคู่กับการปกป้องชายแดนไทยอย่างมีวุฒิภาวะและเป็นมืออาชีพครับ”

.

#พรรคเพื่อไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา