“ศึกวาระสอง” รัฐธรรมนูญกำลังเริ่มต้นขึ้นในรัฐสภา และในสายตาของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นี่ไม่ใช่แค่การ อ่านรายมาตราให้จบไปตามขั้นตอน แต่คือสมรภูมิสำคัญที่จะชี้ชะตาว่า ประเทศไทยจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชนจริงหรือไม่

นายจาตุรนต์คาดการณ์ว่า เมื่อคำแปรญัตติของกรรมาธิการและสมาชิกรัฐสภามีจำนวนมาก ก็มีโอกาสสูงที่หลายประเด็นในแนวทางของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากจะ “ตกไป” ในที่ประชุม สิ่งที่ต้องลุ้นคือ ในแต่ละมาตรา รัฐสภาจะโหวตไปตามคำแปรญัตติของใคร

เขาเตือนว่า หากแต่ละพรรคการเมืองเลือกโหวต “ตามคำแปรญัตติของพรรคตนเองเท่านั้น” โดยไม่หาทางประสานหรือหาจุดร่วมกัน สุดท้ายอาจกลายเป็นว่า “ไม่มีใครได้อะไรเลย” และแนวทางการยกร่างที่ควรยึดโยงกับประชาชนก็อาจไม่เกิดขึ้นจริง

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภา พรรคการเมืองหลัก และวุฒิสภา ต้อง “คุยกันและตกลงกันให้ดี” ก่อนและระหว่างการลงมติในแต่ละมาตรา เพื่อไม่ให้ร่างรัฐธรรมนูญแตกเป็นชิ้น ๆ จนใช้การไม่ได้ พร้อมเสนอใช้โมเดล สสร. แบบเพื่อไทย ลดความเสี่ยงได้ กมธ. สีเดียว

🎯ศึกคำแปรญัตติวาระสอง หากรัฐสภาโหวตเอาด้วย อาจคืนชีพโมเดล ส.ส.ร.หรือกมธ.ยกร่างที่ยึดโยงกับประชาชน

นายจาตุรนต์อธิบายว่า การประชุมพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 2 พรุ่งนี้ ไม่ใช่แค่การไล่พิจารณา “รายมาตรา” ตามขั้นตอนเท่านั้น แต่หัวใจจริง ๆ อยู่ที่ว่า รัฐสภาจะเลือกแนวทางของใคร

เขาอธิบายว่า ร่างที่เข้าสู่วาระ 2 ผ่านการพิจารณาและแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มาแล้วเกือบทุกมาตรา ขณะเดียวกัน ทั้งกรรมาธิการและสมาชิกรัฐสภาจำนวนมากได้ “ขอสงวนความเห็น” และยื่นคำแปรญัตติเอาไว้

“ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ใครสงวนอะไรไว้บ้าง และที่ประชุมจะตัดสินใจเอาตามความเห็นของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือเอาตามผู้สงวนที่แปรญัตติและสงวนความเห็นไว้ ซึ่งสงวนไว้เป็นจำนวนมาก”

จุดนี้เองที่นายจาตุรนต์มองว่า เป็นช่วง “น่าลุ้น” ของวาระสอง เพราะผู้สงวนมีทั้งจากพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งสงวนไปคนละทิศทาง

“นั่นจึงอาจจะทำให้ผู้ที่สงวนไว้รวมกันแล้วอาจมีมากกว่า กมธ.เสียงข้างมากก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เนื้อหาสาระสำคัญอาจเปลี่ยนไปมาก และโยงไปยังมาตราอื่น ๆ ทำให้ต้องคิดกันต่อว่าจะเดินอย่างไร หากมติที่ออกมาผิดไปจากแนวของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก”

ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยได้สงวนความเห็นยืนยัน รูปแบบของ ส.ส.ร ที่มาจากจากการเลือกตั้งของประชาชนก่อนให้รัฐสภาเลือก ส่วนพรรคประชาชนก็สงวนความเห็น โดยยืนยันให้ คณะกรรมาธิการยกร่างฯ มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก่อนเช่นกัน

ถ้าในมาตราใด แนวทางของ กมธ.เสียงข้างมาก “ตกไป” สิ่งที่ต้องลุ้นต่อคือ รัฐสภาจะหันไปเลือกคำแปรญัตติของใคร และแนวทางนั้นจะทำให้ “การร่างรัฐธรรมนูญยึดโยงกับประชาชน” เหล่านี้กลับมาได้มากน้อยเพียงใด

🎯ถ้าต่างคนต่างเอาแต่ของตัวเอง รัฐธรรมนูญจะพังทั้งฉบับ 

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือพรรคใหญ่หลายพรรคสงวนไปคนละทาง ก็อาจทำให้แต่ละพรรคโหวตไปตามผู้สงวนของพรรคตน”

เขาเตือนว่า หากแต่ละฝ่ายตั้งใจ “เอาให้ได้ตามตัวเองทั้งหมด” โดยไม่ยอมเจรจา อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดความสับสน ยุ่งเหยิง ถึงขั้นต้องพักการประชุมยาวเพื่อกลับไปคิดกันใหม่

“ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ต้องมีการหารือ เจรจาต่อรอง และถ้อยทีถ้อยอาศัยกันพอสมควร… เพื่อให้สุดท้ายได้ร่างรัฐธรรมนูญที่เชื่อมโยงสอดคล้องกัน ไม่ใช่บางมาตราไปขัดกับอีกบางมาตรา”

🎯ส.ส.ร. ทำไมสำคัญ : ไม่ให้รัฐสภา “แก้เพื่อตัวเอง”

หนึ่งในประเด็นใหญ่ที่วาระสองต้องตัดสินใจ คือ จะใช้องค์กรใดเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ในร่างหลักของคณะกรรมาธิการ ขณะนี้กำหนดให้มีเพียง “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” เป็นผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่พรรคเพื่อไทยเสนอไว้ตั้งแต่ต้นให้มี สองชั้น ได้แก่

คณะกรรมาธิการยกร่าง และ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาทำหน้าที่พิจารณา ตรวจ และตัดสินใจอีกชั้นหนึ่ง

นายจาตุรนต์อธิบายว่า แนวคิดสภาร่างรัฐธรรมนูญมีมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมือง ตัวอย่างสำคัญคือกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540

“การมี ส.ส.ร. หมายถึงมีคนอีกชุดหนึ่งมาช่วยกันดู ช่วยกันพิจารณา ช่วยกันตัดสินใจ ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินใจหลักในทุกเรื่อง ทุกหมวด ทุกมาตรา”

ในครั้งปี 2540 เมื่อ ส.ส.ร. พิจารณาเสร็จแล้วก็ส่งให้รัฐสภา รัฐสภาพิจารณาเพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ไม่ได้ลงไปแก้ในรายละเอียด ซึ่งช่วยลดข้อครหาว่า สมาชิกรัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญ “เพื่อตัวเอง” โดยเฉพาะในหมวดที่เกี่ยวกับอำนาจและที่มาขององค์กรทางการเมือง

“อีกด้านหนึ่ง การให้ ส.ส.ร. พิจารณาก่อนเข้ารัฐสภายังช่วยลดปัญหาสำคัญที่มักเกิดในวัฒนธรรมการเมืองไทย คือข้อครหาเวลามีการแก้รัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับอำนาจ หน้าที่ และที่มาขององค์กรต่าง ๆ… ว่าการแก้นั้นเป็นการ ‘แก้เพื่อตัวเอง’ หรือไม่”

ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยคือ ให้ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 300 คน จากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 100 คน โดยยืนยันว่า รูปแบบ “ประชาชนเลือกก่อน แล้วรัฐสภาคัดเลือกอีกชั้นหนึ่ง” ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

🎯วิจารณ์สูตร “20 หยิบ 1” เสี่ยงได้กรรมาธิการ “สีเดียว”

ในคณะกรรมาธิการได้ใช้องค์กรที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญตามร่างของพรรคประชาชน นั่นคือ “คณะกรรมาธิการยกร่าง” ซึ่งเดิมที ต้องการให้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก่อนแล้วค่อยให้รัฐสภามาเลือกอีกทีในรูปแบบ 20 หยิบ 1  แต่ภายหลังคณะกรรมาธิการแก้ไขใหม่ไม่ให้มีการเลือกมาจากประชาชนแต่ให้ประชาชนคนใดก็ได้สมัครเข้ามา แล้วสมาชิกรัฐสภาใช้เสียง 20 เสียงเสนอชื่อได้ 1 คน

นายจาตุรนต์เตือนว่า หากคณะกรรมาธิการทั้งหมดมาจากการคัดเลือกโดยสมาชิกรัฐสภาอย่างเดียว มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้องค์ประกอบที่หลากหลายตามที่ควรเป็น

“เมื่อไม่มีส่วนที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน คณะกรรมาธิการที่ได้มาจะสะท้อนสัดส่วนจากเสียงข้างมากในที่ประชุมร่วมรัฐสภา… กรรมาธิการก็จะมีสีเดียวหรือใกล้เคียงกันเกือบทั้งหมด ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นเสียงของมากของรัฐสภาเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น”

ในส่วนนี้พรรคเพื่อไทยจึงสงวนความเห็นให้มีผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน และมาจากสายวิชาชีพ 25 คน โดยส่วนนี้ยังคงใช้วิธีคัดเลือกคล้ายสูตร 20 หยิบ 1 แต่ลดจำนวนลง เพื่อให้สัดส่วนโดยรวมเปิดกว้างต่อผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมากขึ้น ไม่ใช่จำกัดอยู่ในเครือข่ายที่ใกล้ชิดพรรคการเมืองและกลุ่ม ส.ว. เท่านั้น

🎯จากวาระสองสู่ปลายทาง: วาระสาม–ประชามติ–การเรียนรู้ของประชาชน

แม้ไฮไลต์อยู่ที่วาระสอง แต่นายจาตุรนต์ก็วางเป้าหมายไปถึงขั้นวาระสามและประชามติ เขาคาดว่า เมื่อวาระสองเสร็จ ต้องรอให้พ้น 15 วันจึงมาลงมติในวาระสาม โดยย้ำว่า ตนอยากเห็นการลงมติวาระสามเกิดขึ้นจริง

“ถ้าในการพิจารณาวาระสอง เนื้อหาถอยหลังจนล้าหลังมาก ไม่มีความหวังจะได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย เราก็ต้องโหวตไม่เห็นชอบ แต่สิ่งที่อยากเห็นจริง ๆ คือในวาระสองได้ร่างที่มีเนื้อหาดีพอสมควร… ถ้าได้ตามนั้นและปรับบางส่วนที่พอรับกันได้ ก็อยากเห็นการยกมือสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ในวาระสาม”

เขายังอธิบายต่อว่า หากร่างผ่านวาระสาม จะเกิดการทำประชามติ 2 คำถามควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง ซึ่งภายใต้กฎหมายประชามติใหม่ที่ไม่จำกัดสิทธิในการรณรงค์ จะทำให้เกิด “การเรียนรู้ครั้งใหญ่” ของประชาชนทั้งประเทศ ทั้งในเรื่องรัฐธรรมนูญ และเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ปากท้อง และปฏิรูปประเทศที่แต่ละพรรคต้องเสนอแข่งกัน

🎯ข้อเสนอถึงรัฐบาล: อย่าปล่อยให้ “สองคำถามประชามติ” หายไปกับการยุบสภา

ตอนท้าย นายจาตุรนต์ฝากข้อคิดถึงรัฐบาลว่า สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในระยะสั้น คือ การกำหนดมติให้มีการทำประชามติคำถามที่ 1 ให้ชัดเจนและไม่ช้าเกินไป

เขาเตือนว่า ถ้าไม่มีมติไว้ก่อน แล้วเกิดการยุบสภากะทันหันขึ้นมา อาจทำให้ทั้งคำถามที่ 1 (ถามว่าจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่) และคำถามที่ 2 (ถามว่าจะรับหรือไม่รับร่างที่ผ่านวาระสาม) “หายไปพร้อมกัน”

“ควรมีมติก่อน หากอยู่ ๆ ยุบสภากะทันหันโดยไม่มีมติทำประชามติคำถามที่ 1 และเมื่อยุบสภาแล้ว ก็อาจไม่สามารถจัดให้มีคำถามที่ 2 ได้ด้วย ทั้งสองคำถามจึงอาจหายไปพร้อมกัน”

เขาเสนอว่า รัฐบาลและพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ควรให้ความสนใจกับ MOU ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน ช่วยกันประคองให้วาระสองผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย แล้วพยายามผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านวาระสาม ในกรอบเนื้อหาที่สังคมพอรับได้ พร้อมกับรีบมีมติจัดทำประชามติตามมติของรัฐสภา

สุดท้าย นายจาตุรนต์ย้ำว่า ศึกวาระสองครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเกมเทคนิคในรัฐสภา แต่คือการตัดสินใจร่วมกันของทุกฝ่ายในสภาว่า ประเทศไทยจะเดินไปสู่รัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชนจริง ๆ หรือจะกลับไปติดอยู่กับกติกาที่ถูกกำหนดโดยผู้เล่นเพียงไม่กี่กลุ่มในระบบการเมือง และทุกสายตาจึงต้องจับจ้องไปที่ “การโหวตคำแปรญัตติ” ในวาระสองของวันพรุ่งนี้เป็นพิเศษ

#พรรคเพื่อไทย #จาตุรนต์ฉายแสง #การแก้รัฐธรรมนูญ