นายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ถึงภาพรวมในการออกแบบงบประมาณปี 2569

ว่ามีการเปลี่ยนโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ จากแต่เดิมที่เป็นระบบรวมศูนย์ ไปสู่การกระจายอำนาจการใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพราะรัฐบาลเชื่อมั่นว่า การบริหารราชการยุคใหม่ต้อง “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” คือให้แต่ละหน่วยงานสามารถรับมือกับภารกิจของตนเองได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และสอดคล้องกับบริบทเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

นายไชยา พรหมา  ได้เริ่มต้นอภิปรายว่าปัจจุบันประเทศไทยเราเผชิญกับสภาวะความไม่แน่นอนจากทั้งภัยพิบัติธรรมชาติและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยซึ่งเศรษฐกิจมุ่งเน้นไปที่การส่งออกต้องเผชิญกับกำแพงภาษีครั้งใหญ่จากประเทศ คู่ค้า ขณะเดียวกันเราก็เผชิญกับภัยธรรมชาติและภัยคุกคามรูปแบบไซเบอร์

.

ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเป็นภาวะที่เราทุกคนต้องเผชิญ พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรครัฐบาลก็ได้ “เตรียมความพร้อม” ให้กับประเทศมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณ 2569 ฉบับนี้

.

ภาพรวมการบริหารจัดการงบประมาณ 2569 ได้มีนโยบายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 อนุมัติกรอบงบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาท และในการนั้นนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อสั่งการที่สำคัญสามประการคือ 

.

1. ให้หน่วยรับงบประมาณใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

.

2. ให้หน่วยรับงบประมาณนำเงินนอกงบประมาณมาใช้รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นๆ

.

3. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนเพื่อกระตุ้นตัว G หรือการลงทุนภาครัฐใน GDP โดยงบประมาณ 2569 มีเป้าหมายที่สำคัญคือ การเติบโตทางประสิทธิผลหรือ “Efficiency Growth” 

.

ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อม (Preparedness) ให้กับประเทศในการรับมือกับความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเมื่อหน่วยงานดำเนินการตามงบประมาณก็จะถูกใช้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นและสามารถผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศได้ จนสามารถออกมาเป็นงบประมาณ 2569 ฉบับที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่

.

[ภาพรวมงบประมาณ 2569] 

งบประมาณ 2569 มาจากรายได้สุทธิของรัฐบาลซึ่งอยู่ที่ 2.92 ล้านล้านบาทซึ่งคิดเป็น 14.6% ต่อ GDP โดยรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลอยู่ที่ 3.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.9% ต่อ GDP รัฐบาลจะมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 860,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ต่อ GDP

.

งบประมาณถูกจัดสรรตามภารกิจ แบ่งออกเป็น 7 ด้านได้แก่ 

.

-งบรายจ่ายกลาง 6.3 แสนล้านบาท

-งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ  1.4 ล้านล้านบาท

-งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ 9 หมื่นล้านบาท

-งบรายจ่ายบุคลากร 8.2 แสนล้านบาท

-งบรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 2.7 แสนล้านบาท

-งบประมาณการรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ 4.2 แสนล้านบาท 

-งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 1.2 แสนล้านบาท

.

โดยสภาพัฒน์ได้คำนวณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโดย GDP ของไทยจะเติบโตร้อยละ 2.3 -3.3 ทำให้คาดการณ์ GDP อยู่ที่ 20 ล้านล้านบาท 

.

[หลายคนอาจมีคำถามว่าเหตุใดจึงจัดสรรงบประมาณเช่นนี้] 

.

1.ลดการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 860,000 ล้านบาท

.

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเลือกใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์ และผลกระทบที่ตกค้างจากวิกฤตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราเดินหน้า ลดภาระหนี้ในระยะยาวอย่างมั่นคง โดยในปีนี้ รัฐบาลตั้งงบเพื่อชดใช้เงินคงคลังมากถึง 123,541.1 ล้านบาท พร้อมทั้ง ลดการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลลงจากปีก่อน แม้จะเผชิญกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อฟื้นเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ให้ประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ GDP ของประเทศกำลังเติบโตต่อเนื่องที่ 2.3–3.3% และอัตราการเพิ่มของหนี้สาธารณะของไทยกำลังลดลง แตกต่างจากประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ทั่วโลกที่หนี้สาธารณะต่อ GDP กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนี่คือทิศทางที่ชัดเจนและมั่นคง: บริหารการเงินแผ่นดินอย่างมีวินัยในขณะที่ยังสามารถลงทุนเพื่ออนาคต โดยไม่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงด้านการคลังเกินจำเป็น

.

งบประมาณ 2569 จึงไม่ใช่เพียงเอกสารตัวเลข แต่คือแนวทางของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่า ประเทศไทยจะสามารถยืนอยู่ในจุดที่มั่นคงได้ ท่ามกลางโลกที่ไม่แน่นอน หากเรารู้จักวางน้ำหนักให้ถูกต้องระหว่างการใช้จ่าย การกู้ และการสร้างความมั่นคงทางการคลัง

.

2 การลดงบกลางลง 209,032.9 ล้านบาท

.

หนึ่งในแนวทางสำคัญของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการจัดทำงบประมาณปี 2569 คือ การเปลี่ยนโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ จากระบบรวมศูนย์ไปสู่การกระจายอำนาจการใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเราตัดสินใจ ปรับลดงบกลางลงกว่า 162,000 ล้านบาท ไม่ใช่เพราะลดความสำคัญของกลไกรัฐ แต่เพราะเชื่อมั่นว่า การบริหารราชการยุคใหม่ต้อง “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” เพื่อให้แต่ละหน่วยงานสามารถรับมือกับภารกิจของตนเองได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และสอดคล้องกับบริบทเฉพาะหน้า

.

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสอดคล้องกับ การเปิดพื้นที่ให้ความร่วมมือและการตรวจสอบจากภายนอก ทำได้ง่ายขึ้น งบประมาณไม่ได้รวมอยู่ในมือผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน แต่กระจายไปยังหน่วยรับงบ ซึ่งต้องตอบโจทย์เชิงภารกิจและรับผิดชอบต่อประชาชนอย่างแท้จริงนี่คือการจัดงบประมาณเพื่ออนาคต ที่พร้อมรับมือกับความหลากหลายของวิกฤต และเปิดทางให้เกิด การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน อย่างแท้จริง — ไม่ใช่แค่ในเชิงโครงสร้าง แต่ในเชิงงบประมาณและกลไกการทำงานด้วย

.

[แล้วรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการจัดการงบประมาณอย่างไร?]

.

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจัดทำงบประมาณปี 2569 โดยมีเป้าหมายเพื่อ “การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในภาวะไม่แน่นอน” ผ่านสองแนวทางหลัก:

.

1. ความยืดหยุ่นแบบกระจายตัวสูง

.

-ลดการรวมศูนย์อำนาจและกระจายงบประมาณไปยังหน่วยงานในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถตอบสนองภัยพิบัติและปัญหาเฉพาะพื้นที่ได้รวดเร็ว เช่น ปัญหา PM 2.5 และภัยธรรมชาติ

.

-ลดงบกลางลงกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่น จังหวัด กลุ่มจังหวัด อปท. และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

.

-ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นได้รับการพัฒนาเร็วขึ้น เด็กและผู้สูงอายุได้รับบริการดีขึ้น และนวัตกรรมจากห้องวิจัยสามารถเข้าถึงประชาชนได้จริง การที่งบของส่วนท้องถิ่นจังหวัดเพิ่มขึ้น หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

.

2. การลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐาน

.

-ลงทุนเพื่อรับมือวิกฤตระดับโลก เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกรวน และเศรษฐกิจโลก โดยเน้นลงทุนใน 4 ด้านหลักได้แก่

.

-คมนาคม: รถไฟความเร็วสูง, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน (1.9 แสนล้านบาท)

-บริหารจัดการน้ำ: แก้น้ำท่วม-แล้ง, ระบบชลประทาน, น้ำสะอาด (1.3 แสนล้านบาท)

-วิจัยและนวัตกรรม: พัฒนาศักยภาพนักวิจัยและผู้ประกอบการ (2.2 หมื่นล้านบาท)

-เทคโนโลยีดิจิทัล: พัฒนาระบบรัฐดิจิทัลเชื่อมต่อท้องถิ่น (1.5 พันล้านบาท)

.

“ทั้งหมดนี้ คือการจัดงบประมาณที่ต้องการมุ่งเน้น “ลดความเสี่ยง (Lower Risk)” โดยบริหารงบกระจายอำนาจ เพิ่มศักยภาพการรับมือปัญหาใกล้ตัว และลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความไม่แน่นอน พร้อมทั้งสร้าง “โอกาสใหม่ (New Workable Space)” ให้ประเทศเติบโตในโลกยุคใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน การค้าระดับภูมิภาค และการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ ผมจึงขอให้ ส.ส. สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2569 เพื่อพาประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายไชยา กล่าว.

#พรรคเพื่อไทย #งบประมาณปี69