นายวัชระพล ขาวขำ สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 โดยได้อภิปรายประเด็นเมื่อการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ผู้ที่จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือผู้ผลิต SME ไทย ที่เป็นเสมือนแหล่งนวัตกรรมเล็กๆ ในธุรกิจ ที่จะต้องรีบปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง โดยจะมีพี่เลี้ยงที่มีบทบาทสำคัญอยู่ 2 กระทรวงที่จะคอยดูแล คือกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์  ที่จะช่วยประคับประคอง เพื่อให้ปรับตัวได้เร็ว สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจให้ได้มาก เพื่อกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิต  ดังนั้น การจัดงบประมาณในปี 69 จึงมุ่งเสริมแกร่งให้ SME ให้พร้อมส่งออก เตรียมพร้อมสู่ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่อย่างยั่งยืน

.

[โครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยน และผลกระทบต่อประเทศไทย]

.

นายวัชระพล เริ่มต้นกล่าวว่า ผู้ผลิตรายย่อยของไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าคุณภาพดีและราคาสูง แต่ขาดการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว โดยทั้งประเทศมีผู้ประกอบการ SME อยู่ที่ 3.19 – 3.2 ล้านราย แต่ปัญหาของ SME ในปัจจุบัน คือ การขาดนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าเกษตรขั้นปฐมภูมิ กล่าวคือ สินค้าหลายชนิดยังคงส่งออกในรูปของวัตถุดิบหรือสินค้าแปรรูปขั้นต้น ทำให้ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เต็มที่ และมีอำนาจในการต่อรองราคาน้อย รวมถึงการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านเกษตรแปรรูปและนวัตกรรมอาหารยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงเกิดขึ้นได้ช้าเกินไป

.

[สินค้าส่งของไทย เป็นสินค้า “โลกเก่า” และมีความอ่อนไหวต่อราคา]

.

-สินค้าโลกเก่า หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังหดตัว เช่น รถยานยนต์สันดาป ฮาร์ดดิสก์ แผงวงจรรวม ซึ่งโลกมีอุปสงค์ลดลง และมีราคาได้ไม่สูง สร้างส่วนต่างกำไรได้ไม่มาก

.

-สินค้าที่อ่อนไหวต่อราคา หมายถึง สินค้าที่ความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เมื่อราคาสินค้าดังกล่าวสูงขึ้นหรือลดลงจะส่งผลต่อตลาดอุปสงค์-อุปทาน 

.

-ความเป็นสินค้าโลกเก่าและสินค้าที่อ่อนไหวต่อราคาทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบในการค้าระหว่างประเทศ เพราะความต้องการสินค้าโลกเก่ามีแต่จะหดตัวลงและไทยเป็นผู้ “รับราคา” (price-taker) มากกว่าผู้ “กำหนดราคา” ของสินค้า ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นข้อกังวลต่อประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

.

[ไทยพึ่งพาการส่งออกสูงมาก และตลาดส่งออกหลักกระจุกตัว]

.

การส่งออกไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 65% ของ GDP (2566) โดยมีสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยปี 2567 การส่งออกไทยไปสหรัฐมีมูลค่า 54,956 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 18.3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

.

จึงเป็นความจำเป็นของการสนับสนุนจัดงบฯ ของ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปีนี้

.

[บทบาทของ ก.อุตสาหกรรมและ ก.พาณิชย์]

.

-กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อ “จุดติด” เครื่องยนต์ใหม่นี้

.

ในระดับต้นน้ำ มีโครงการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร งบประมาณ 166,792,400 บาท เป็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทยในระยะยาว หรือ โครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบตลาดภายในสำหรับสินค้าเกษตร งบประมาณ 93,263,700 บาท โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับสินค้าการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรภายในประเทศ 

.

งบที่เกี่ยวข้องในกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อภารกิจนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 497,415,900 บาท ในระดับการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ SME มีโครงการเสริมสร้างความสามารถการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ได้รับงบประมาณ 42,559,300 บาท – งบประมาณที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้นถึง 289,740,000 บาท

.

-กระทรวงพาณิชย์ มีพันธกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจการค้า เจรจาการค้าระหว่างประเทศ และส่งเสริมและเร่งรัดการส่งออก เพื่อให้เครื่องยนต์ใหม่นี้ไป “โลดแล่น” ในต่างประเทศ

การวางงบนี้มีจุดมุ่งหมาย “สร้างสะพาน” เชื่อมไทยสู่โลก-เชื่อมโลกสู่ไทย โดยการพิจารณาจากการจัดสรรงบ ตามเกณฑ์นโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ “นโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ได้รับงบ 944.4 ล้านบาท (28.8%) หรือมากเป็นอันดับ 2 และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ได้รับงบ 349.53 ล้านบาท (10.66%) เป็นอันดับ 3

.

จากโครงการ จะมีการมุ่งเน้นการสร้างรายได้และขยายโอกาสให้คนไทย ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการส่งเสริมการสร้างมูลค่าสินค้า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย  ยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ พัฒนาศิลปหัตถกรรมไทยยุคใหม่และยกระดับสู่สากล ส่งเสริมสินค้าเพื่อความยั่งยืนและสร้างสรรค์อัตลักษณ์ให้ไทยโกอินเตอร์ เหล่านี้เป็นการวางผู้ประกอบการในระดับฐานรากให้แข็งแกร่ง

.

เมื่อรากฐานแข็งแกร่ง กระทรวงพาณิชย์ก็จะส่งเสริมให้ไปงอกงามต่างประเทศได้ผ่าน “นโยบายเร่งผลักดันการส่งออกให้ตัวเลขเป็นบวกยิ่งกว่าเดิม” ได้รับงบ 1,200.7 ล้านบาท (36.1%) สัดส่วนคิดเป็นอันดับ 1 

.

[ตัวอย่างธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จ]

.

-ผ้าทอและสิ่งทอจากธรรมชาติ: ตลาดผ้านาข่าที่ลิซ่าใส่

-ผลิตภัณฑ์จักสานและงานฝีมือ: YOTHAKA ที่นำผักตบชวามาทำเฟอร์นิเจอร์จนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกโดยจัดหาจัดหา ผักตบชวา (ซึ่งเป็นวัสดุหลัก) และวัสดุธรรมชาติอื่นๆ เช่น กก, หวาย, ไม้ จากแหล่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ ให้กับชาวบ้านในท้องถิ่นที่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยวและแปรรูปผักตบ ยกระดับทักษะและคุณค่าของช่างฝีมือไทยงานจักสานด้วยมือที่โรงงานในปทุมธานี YOTHAKA เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่มากนัก (เพียง 5 แสนบาท) แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นนำหัตถกรรมไทยสู่สากล ก็สามารถสร้างผลประกอบการหลายร้อยล้านบาทได้ ซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นบทพิสูจน์ ให้กับผู้ประกอบการและนักออกแบบรุ่นใหม่กล้าที่จะคิดและลงมือทำ

.

นายวัชระพล กล่าวสรุปว่า SME จะกลายเป็นแหล่งเกิดนวัตกรรมเล็กๆ (Incremental Innovation) ที่สามารถแปรรูปและต่อยอดสินค้าที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มได้รวดเร็ว SME หลายแห่งก้าวขึ้นเป็นผู้บุกเบิกตลาดใหม่ๆ หรือนำเสนอแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร สิ่งนี้สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และเปิดประตูให้สินค้าคราฟต์ไทยก้าวสู่เวทีโลก 

.

SME จะสร้างงานใกล้บ้าน-ลดความเหลื่อมล้ำ-รองรับแรงงานทุกระดับทักษะ ไปยังสร้างมูลค่าเพิ่มและหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชน-กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก-เสริมห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การสนับสนุน SME จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง ยั่งยืน สำหรับทุกคน

.

“รัฐบาลพร้อมที่จะเสริมแกร่งพาณิชย์ พิชิตระเบียบโลกใหม่ ดัน SME ไทย สร้างกำไรสู่กระเป๋าประชาชนอย่างแท้จริง” วัชระพล กล่าว 

.

#พรรคเพื่อไทย #งบประมาณปี69