หนุนแผนจัดการน้ำทั้งระบบ แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เสริมศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก น.ส.พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ สส.พิษณุโลก ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในเรื่องนโยบายคมนาคม

น.ส.พิมพ์พิชชากล่าวว่า รัฐบาลตระหนักว่าปัญหาน้ำไม่ใช่เรื่องเฉพาะจุด แต่น้ำคือความมั่นคงของชาติ  ในบริบทที่โลกกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ “โลกเดือด” (Global Boiling) จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างฉับพลันและรุนแรง ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และอุทกภัยได้ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยเองก็ไม่รอด

เมื่อปี 2563 มีภัยแล้งครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหลายล้านครอบครัว โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องการทำงาน เพราะขาดน้ำใช้ เป็นเหตุให้เศรษฐกิจโดยรวมเสียหายกว่า 46,000 ล้านบาท ดังนั้นการให้ความสำคัญในการลงทุนเชิงรุกด้านโครงสร้างพื้นฐานน้ำ (Water Infrastructure) เพื่อช่วยลดความเสี่ยง ให้กับทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ อันเป็น

1.หลักประกันคุณภาพชีวิต : หากมีระบบชลประทานและแหล่งกักเก็บน้ำที่ดี เกษตรกรจะไม่ต้องเสี่ยงดวงกับฟ้าฝน ชาวนาไม่ต้องกังวลปัญหาฝนทิ้งช่วง

2.เสถียรภาพภาคอุตสาหกรรม : โรงงานสามารถเดินเครื่องอย่างผลิตต่อเนื่อง  ไม่ขาดน้ำจนต้องหยุดทำงาน

3.ขยายพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ (New Workable Space) : พื้นที่ใดที่น้ำเข้าถึงที่ดินแห้งแล้ง ก็สามารถพัฒนาเป็นพื้นที่ทำกิน หรือเปิดรับการลงทุนอุตสาหกรรมได้

 ด้วยเหตุนี้รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจึงตระหนักถึงบทบาท “ทรัพยากรน้ำ” ในฐานะปัจจัยพื้นฐานด้านความมั่นคงและการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ พร้อมเน้นย้ำว่าการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน  จะเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และยังเป็นพื้นฐานในการเสริมศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก น้ำจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ ความอยู่รอดของประชาชน และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ในเวทีเศรษฐกิจโลก

ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้งระบบรวม สูงถึง  134,660.2 ล้านบาท  โดยมุ่งเน้น

-การจัดหาน้ำสะอาด สำหรับอุปโภคบริโภคให้ประชาชน 

-เพิ่มศักยภาพแหล่งกักเก็บน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพกระจายน้ำ ควบคู่กับการขยายเขตชลประทาน เพื่อสร้าง GDP ภาคการเกษตร เป็น 140,493 ล้านบาท)

-แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง โดย ป้องกันและลดผลกระทบ พร้อมถ่ายทอดความรู้ ในการป้องกันภัยพิบัติทางน้ำให้กับประชาชน เน้นการใช้ระบบพยากรณ์และเตือนภัยด้านน้ำ โดยตั้งเป้าติดสถานีเตือนภัยกว่า 2,200 สถานี)

นอกจากนี้เรายังเห็นความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาน้ำจากการผันงบจากการชะลอดิจิทัลวอลเลตมา 109,657.15 ล้านบาท เพื่อสมทบการแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

 ถือเป็นการลงทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานของระบบน้ำทั้งหมด และเมื่อรวมกับงบจากรัฐวิสาหกิจ เช่น การประปาส่วนภูมิภาค (6,087 ล้านบาท) และองค์การจัดการน้ำเสีย (1,686 ล้านบาท) ซึ่งไม่ใช่แค่งบ “แก้ภัยแล้ง” หรือ “ระบายน้ำท่วม”เฉพาะหน้าเท่านั้น เป็นการแสดงเจตจำนงของรัฐบาลในการ

 “เปลี่ยนจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การวางระบบการบริหารจัดการน้ำระยะยาว”

[วิกฤตน้ำ: ไม่ได้กระทบแค่ชีวิต แต่บั่นทอนเศรษฐกิจทั้งระบบ]

จะเห็นได้ว่า ปี 2567–2568 ประเทศไทยประสบกับความสุดโต่งของภูมิอากาศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบภัยแล้งรุนแรงต่อเนื่อง 6 เดือน ภาคกลางและภาคใต้ประสบอุทกภัยฉับพลันรวม 52 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 3.5 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึง “ความมั่นคงด้านทรัพยากรพื้นฐานของไทย”

วันนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศเป้าหมายให้ไทยเป็น “Data Center Hub” ของภูมิภาค

Data Center คือสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่ข้อมูล ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความร้อนในปริมาณมหาศาล ซึ่งน้ำจึงเข้ามามีบทบาท ใน ระบบระบายความร้อน เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพการทำงานที่เหมาะสมที่สุด และป้องกันฮาร์ดแวร์ล้มเหลว จะเห็นได้ว่า Data Center ใช้น้ำปริมาณมากเทียบเท่าการใช้น้ำของ ชุมชนทั้งอำเภอในหนึ่งวัน จะเห็นได้ชัดว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีงบประมาณและแผนการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

[5 แผนงานหลัก: ลงลึกทุกพื้นที่ เพื่อวางรากฐานโครงสร้างน้ำอย่างยั่งยืน]

งบประมาณที่ปรับมาจากดิจิทัลวอลเล็ตจำนวน 109,657.15 ล้านบาท จะถูกนำไปจัดสรรตามโครงการกว่า 200,000 โครงการในความดูแลของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งแบ่งเป็น 5 ด้าน ดังนี้

1.น้ำอุปโภคบริโภค (58,456 ล้านบาท) ครัวเรือนกว่า 2.24 ล้านหลังคาเรือนที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาดจะเข้าถึงระบบประปา การขุดบ่อบาดาล และมีน้ำกินน้ำใช้ที่มั่นคง

2.พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรรม (25,773 ล้านบาท) มุ่งช่วยพื้นที่เกษตร นอกเขตชลประทานกว่า 2.53 ล้านไร่ ให้สามารถกักเก็บ และกระจายน้ำได้ดีขึ้น

3.ลดความเสี่ยง พื้นที่เกษตรน้ำฝน (พื้นที่เกษตรนอกพื้นที่ชลประทาน ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นปัจจัยในการเพาะปลูกหลัก) และพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก (17,661 ล้านบาท) ด้วยการขุดลอกคลอง พัฒนาแหล่งน้ำใหม่ และจัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่รวมกว่า 370,000 ไร่ เพื่อบรรเทาความเสียหายในพื้นที่ลุ่มต่ำ จากน้ำท่วมซ้ำซาก ในฤดูน้ำหลาก

4.หน่วงน้ำและป้องกันน้ำท่วมในเมือง (6,528 ล้านบาท) ปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วม อาทิ แก้มลิง คันกั้นน้ำ และระบบระบายน้ำในเมืองใหญ่ เช่น ภาคอีสานตอนล่าง และพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้สามารถอยู่ร่วมกับน้ำโดยไม่เกิดความเสียหายร้ายแรง

5.ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ (1,237 ล้านบาท) สร้างฝายชะลอน้ำ ปลูกแฝก และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อให้ธรรมชาติมีกลไกกักเก็บน้ำและลดความรุนแรงของภัยธรรมชาติในระยะยาว

เมื่อรวมผลลัพธ์จากทั้ง 5 ด้าน นี่ไม่ใช่แค่การวางระบบชลประทานหรือประปา แต่คือ “การวางรากฐานชีวิตและเศรษฐกิจของคนไทยทุกกลุ่ม”

1.ครัวเรือนกว่า 2.99 ล้านครัวเรือน จะมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ ลดภาระการซื้อน้ำและยกระดับคุณภาพชีวิต

2.พื้นที่เกษตรกว่า 2.53 ล้านไร่ ได้รับแหล่งน้ำที่มั่นคง เกษตรกรมีรายได้ยั่งยืน ลดความเสี่ยงด้านการผลิต

3.เกิดตำแหน่งงานกว่า 250,000 อัตรา/เดือนจากการดำเนินโครงการ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างทักษะใหม่

4.มูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 128,199 ล้านบาท กระจายลงพื้นที่ เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ สร้างโอกาสการลงทุนใหม่

[งบปีนี้ ไม่ใช่แค่ ‘ใช้จ่าย’ แต่คือ ‘การวางรากฐาน’ ให้ประเทศ]

งบกลางปี 2568 (1.57 แสนล้านบาท) เน้นการใช้เพื่อ “ความยืดหยุ่น–ตอบสนองเร่งด่วน” แต่ปี 2569 รัฐบาลเลือกลงทุนแบบ “มุ่งเป้า – ตามเกณฑ์ – เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ”

“วันนี้เราไม่ได้ใช้เงินแก้ปัญหา แต่ใช้เงินสร้างระบบ เพื่อให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันจากภัยน้ำ และพร้อมต่อยอดเศรษฐกิจอย่างมั่นคง ที่สำคัญงบเหล่านี้ ไม่ได้ผูกขาดโดยส่วนกลาง แต่ถูกกระจายไปยัง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้พื้นที่ได้ร่วมออกแบบ วางแผน และดูแลทรัพยากรน้ำของตนเองอย่างเหมาะสม”

“น้ำคือชีวิต งบปีนี้คือ “การลงทุนในอนาคตของทุกคน” นี่ไม่ใช่แค่งบประมาณรายจ่ายเพียงหนึ่งปี แต่คือแผนสร้างความมั่นคงของชาติ ผ่านการจัดการทรัพยากรน้ำ ขอให้สมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกท่าน ร่วมกันสนับสนุนงบประมาณฉบับนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีน้ำ มีอนาคต มีศักยภาพในการแข่งขัน และมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน”

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #พิมพ์พิชชา