‘ลิณธิภรณ์‘ ชูรัฐบาล ‘แพทองธาร‘ เพิ่มงบการศึกษาวิจัยปี 69 เปิดฉากลงทุนทรัพยากรมนุษย์ไทย 3 มิติ อัดฉีด STEM พัฒนา AI หนุน Soft Power บรรลุ Zero Dropout ได้จริง!
น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วิจัย พัฒนา และส่งเสริมเยาวชนและทรัพยากรมนุษย์ของไทย
[สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อโครงสร้างที่ไทยต้องปรับตาม]
น.ส.ลิณธิภรณ์กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกำลังเผชิญคลื่นความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากทั้งภัยธรรมชาติอันเกิดจากโลกร้อน และความขัดแย้งเชิงอำนาจระดับโลก โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ได้เปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจและเทคโนโลยีโลกไปโดยสิ้นเชิง
ยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในสงครามการค้าครั้งนี้คือการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยี ทำให้เทคโนโลยีระดับสูงอย่าง AI และ Semiconductor กลายเป็นสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เพียงสินค้าอีกต่อไป โดยเฉพาะ Semiconductor ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “น้ำมันแห่งศตวรรษที่ 21” แต่ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าจากจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่นกว่า 54.7% และขาดฐานวิจัยและพัฒนา รวมถึงบุคลากรเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างชัดเจน
แม้กลยุทธ์ China+1 จะเปิดโอกาสให้ไทยเป็นฐานการผลิตใหม่ แต่ไทยกลับกำลังเผชิญวิกฤตกำลังคน โดยเฉพาะในสาย STEM, โลจิสติกส์, ออโตเมชั่น และ Data Analytics ขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานยังตามหลังโลก เห็นได้จากคะแนน PISA ปี พ.ศ. 2565 ที่เด็กไทยมีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 15% ในทุกด้าน และความเหลื่อมล้ำของทักษะระหว่างนักเรียน ที่ถ่างกว้าง รวมถึงปัญหาเด็กไทยหลุดออกนอกระบบการศึกษากว่า 1.02 ล้านคน ในช่วงปี พ.ศ. 2562-2567 ที่ผ่านมา
ในขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน กำลังลงทุนหนักในทุนมนุษย์ผ่านระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจ ไทยกลับยังมีช่องว่างระหว่างนโยบาย ภาคการศึกษา และภาคอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง เป็นสัญญาณเตือนว่าโครงสร้างระบบการศึกษาของไทยกำลังล้าหลังอย่างรุนแรง และไม่สามารถตอบโจทย์การแข่งขันในโลกอนาคตได้
เราจึงจำเป็นต้องยกเครื่องระบบพัฒนาทุนมนุษย์อย่างบูรณาการ ตั้งแต่มัธยม-อุดมศึกษา-เข้าสู่ตลาดแรงงาน พร้อมลงทุนในงานวิจัยขั้นต้น และเปิดโอกาสการศึกษาระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน รัฐต้องสร้างระบบการศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งนี้ไม่ใช่การพัฒนาคนส่วนน้อย แต่เป็นการยกระดับศักยภาพของประชาชนทั้งประเทศ หากไม่ปรับแนวคิด งบประมาณ และทิศทางการวิจัยให้ทันต่อโครงสร้างใหม่ของโลก ไทยอาจหลุดจากขบวนเศรษฐกิจศตวรรษที่ 21 อย่างถาวร
[ต้นไม้จะสูงได้ ต้องมีรากที่หยั่งลึก]
ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ได้ริเริ่มวางรากฐานระบบการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเตรียมคนไทยให้พร้อมสำหรับคลื่นลูกใหม่ของอุตสาหกรรมโลก
ในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ แรงกระเพื่อมจากเทคโนโลยีใหม่ หรือเศรษฐกิจที่ผันผวน รัฐบาลไม่เคยลืมว่า พื้นฐานของการแข่งขันในโลกยุคใหม่ ต้องเริ่มจากโอกาสที่เท่าเทียมในห้องเรียน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 รัฐบาลจึงได้ประกาศให้ “Thailand Zero Dropout” เป็นวาระแห่งชาติ ร่วมมือกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และกระทรวงต่าง ๆ นำเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษากลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และในปี พ.ศ. 2568 สามารถดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ถึงร้อยละ 95 รัฐบาลจึงขยายผลโครงการ พร้อมพัฒนาเครื่องมือติดตามเด็กเสี่ยงหลุด ระบบแดชบอร์ด และครูลงพื้นที่จริง นอกจากนี้ เราจะจัดสรรงบประมาณ 18,066.3813 ล้านบาทให้กับกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างความมีส่วนร่วมและการรับฟังเสียงจากเยาวชน
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับห้องเรียนของไทยให้เท่าทันโลก ร่างงบประมาณปี 2569 ฉบับนี้จึงจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 35,149.7 ล้านบาท เพื่อพัฒนาหลักสูตร STEM และปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมและประเมินผลนักเรียนได้ และพัฒนาสถานศึกษาให้มีความพร้อมในการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อยกระดับประเทศต่อไป
ในส่วนของระดับอุดมศึกษา รัฐบาลสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยจัดทำหลักสูตรที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษาร่วมกับภาคเอกชน ผ่าน “Higher Education Sandbox” มุ่งผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศในด้านต่างๆ ทำให้ภายในปีเดียวส่งผลให้เกิดหลักสูตร ไมโครเครดิตกว่า 300 หลักสูตร มีผู้ขึ้นทะเบียนทักษะสูงเกือบ 50,000 คน นอกจากนี้ โครงการของนักศึกษาหลายๆ โครงการใน Sandbox ได้รับความสนใจ และยังได้รับงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจากองค์กรภายนอก
ในส่วนของงานวิจัยเพื่อผลิตความรู้ต้นน้ำ รัฐบาลได้เริ่มลงทุนในการวิจัยเทคโนโลยีอนาคต เช่น สาขา BCG (Bio-Circular-Green economy; เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว) และสนับสนุนนักวิจัยรุ่นใหม่ควบคู่กับภาคเอกชน โดยมีโครงการเด่นอย่าง “อว. For EV” พัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 30,000 คนต่อปีเพื่อสนองความต้องการภาคอุตสาหกรรมใหม่ และในปีงบประมาณ 2569 ยังได้จัดสรรงบวิจัยและนวัตกรรมกว่า 19,800 ล้านบาท เพื่อผลักดันเศรษฐกิจอนาคตผ่านเทคโนโลยีระดับสูง อาทิ หลักสูตรด้านเซมิคอนดักเตอร์ และการพัฒนาเครื่องมือ AI เชิงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างแต้มต่อให้ไทยในสมรภูมิการค้าโลกใหม่
[ไผ่ที่โอนอ่อนย่อมแข็งแกร่งกว่าไม้ใหญ่ที่ต้านลม]
การมีรากฐานที่มั่นคงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก แต่ปัจจุบันเรายังขาดความยืดหยุ่น ยากที่จะปรับตัวได้ตามกระแสความผันผวนของโลก ขั้นตอนต่อไปสำหรับรัฐบาล จึงเป็นการเดินหน้าสร้างความคล่องตัวให้กับคนไทย
ด้วยนโยบาย “Thailand Zero Dropout” เพื่อสร้างการศึกษาที่ครอบคลุมของพรรคเพื่อไทยสามารถดึงเด็กและเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม เราทราบว่ามีนักเรียนและครอบครัวบางส่วนที่ไม่สามารถอยู่เพียงในระบบโรงเรียน หรือนอกระบบได้เพียงอย่างเดียว เพื่อต่อยอดนโยบาย “Thailand Zero Dropout” ช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิต รัฐบาล ร่วมกับ กสศ. จึงร่วมมือกันผลักดันปรับรูปแบบการศึกษาให้ตอบสนองความหลากหลายและศักยภาพของเด็กแต่ละคน เช่น การเรียนผ่านระบบดิจิทัล, การเรียนในสถานประกอบการ, ศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน หรือการจัดการศึกษาแบบ “Mobile School” ที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้
เพื่อสนับสนุนความพร้อมของคนไทย สร้างความต่อเนื่องในการเรียนรู้ และเปิดโอกาสให้คนไทยได้พัฒนาศักยภาพที่สอดคล้องกับความต้องการโลก ในร่างงบประมาณปี 2569 รัฐบาลทุ่มงบ 773.3928 ล้านบาท เพื่อจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit Portfolio) สะสมผลการเรียนรู้จากในและนอกห้องเรียน และอีก 100 ล้านบาท เพื่อจัดทำแพลตฟอร์มธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) ให้คนไทยสามารถโอนถ่ายความรู้ความสามารถ ใช้เรียนต่อหรือสมัครงานโดยไม่ยึดติดกับวุฒิแบบเดิม ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว และเปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบได้รับการรับรองทักษะที่ตลาดต้องการ
เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับคนไทยยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2568 รัฐบาลได้ฟื้นโครงการ “หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน” (ODOS) และขยายทุนให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในสาขาที่ชุมชนและประเทศต้องการ เช่น เกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ และการพัฒนาท้องถิ่นแบบยั่งยืน และในร่างงบประมาณปี 2569 ฉบับนี้ รัฐบาลมุ่งขยายผลเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเฟสสองของโครงการ และรองรับนักเรียนทุน ODOS รุ่นใหม่
ท้ายที่สุด นอกเหนือจากในส่วนของ STEM แล้ว รัฐบาลมุ่งสร้างช่องทางใหม่ๆ ให้คนไทยได้แสดงความสร้างสรรค์ผ่านมิติของ Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รัฐบาลพร้อมลงทุนและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ผ่านร่างพรบ งบประมาณปี พ.ศ. 2569 ฉบับนี้เป็นจำนวน 474.0027 ล้านบาท สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยในหลายด้าน และเปิดเวทีให้คนไทยได้แสดงความสามารถด้านต่างๆ ต่อชาวโลก
[ถึงโลกจะหมุนไป แต่เพื่อไทยหัวใจยังคงเป็นประชาชน]
“นับตั้งแต่วันที่พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล จนถึงวันนี้ รัฐบาลได้เห็นความสำคัญของการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ของไทย บนฐานคิดที่ว่าต้นไม้ใหญ่จะสูงได้ จะต้องมีฐานรากที่มั่นคง รัฐบาลได้สร้างระบบการศึกษาที่โอบรับทุกคน ขยายโอกาสในหลากหลายรูปแบบ และมุ่งยกระดับทุกคนให้ได้เติบโตตามศักยภาพและเส้นทางของตนเอง
และบนฐานคิดที่ว่าไผ่ที่โอนอ่อนย่อมแข็งแกร่งกว่าไม้ใหญ่ที่ต้านลม ท่ามกลางการจัดระเบียบโลกใหม่ที่ไร้การคาดเดา หากประเทศไทยไม่ต้องการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากจะต้องเสริมฐานรากให้แข็งแรงยิ่งขึ้นผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีระดับสูงแล้ว เรายังต้องสร้างความยืดหยุ่นให้กับคนไทยผ่านการลดความเสี่ยง เพิ่มความคล่องตัว และสร้างโอกาสใหม่ๆ
ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนไทยและประเทศไทย พลิกวิกฤตแห่งความผันผวนของระเบียบโลกใหม่ มาเป็นโอกาสแห่งการเติบโตและมีที่ยืนในเวทีโลกอย่างมั่นคงเท่าทัน” น.ส.ลิณธิภรณ์กล่าว
#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #ลิณธิภรณ์
