‘ขัตติยา’ ชูแนวทางจัดงบ ‘ยืดหยุ่นแบบกระจาย’ ลดการรวมศูนย์ เพิ่มอำนาจท้องถิ่น ตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ ไม่ต้องรออนุมัติจากส่วนกลาง

น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในเรื่องการจัดทำระบบงบประมาณใหม่ ที่สอดคล้องกับโจทย์ของประเทศ 

น.ส.ขัตติยากล่าวว่า โดยการบริหารงบประมาณในวันนี้ เราต้องเปลี่ยนทั้งวิธีคิดและเครื่องมือ เพื่อให้ทันกับโลกที่ “เปลี่ยนเร็ว และ เปลี่ยนแรง” เพราะประเทศไทยตอนนี้ไม่ต่างจากเรือใหญ่กลางทะเล ที่ต้องฝ่าคลื่นลมจากทุกทิศทาง ทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ฝุ่นพิษที่เรื้อรัง เศรษฐกิจโลกผันผวนและถดถอย ปัญหาความมั่นคงแบบใหม่ และความไม่แน่นอนจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดและเครื่องมือแบบเดิมๆ อีกต่อไป 

งบประมาณฉบับนี้ คือความพยายามของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการออกแบบเครื่องมือใหม่ๆ ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ให้กับประเทศ โดยอยู่บนฐานของความเป็นจริงในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง  ซึ่ง ไม่ได้ทำขึ้นเพียงเพื่อจะ “ประคับประคองประเทศให้เดินต่อได้ในช่วงเวลาวิกฤติ” แต่ต้องการให้ประเทศ “เดินไปข้างหน้าได้ถูกทาง” และ “เดินได้ทันโลก” 

งบประมาณฉบับนี้ จะช่วยเตรียมประเทศไทย ให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมพร้อมเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ จากความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว อีกด้วยหลักที่ใช้ในการจัดงบแนวใหม่  คือ “ความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการออกแบบงบประมาณ” ที่ตอบโจทย์ความจริงของยุคสมัยได้มากขึ้น

วิกฤติและปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันมีความซับซ้อนและมันก็ส่งผลกระทบรวดเร็ว นั่นทำให้เครื่องมือแบบเก่าๆ ไม่สามารถตอบสนองหรือแก้ปัญหาได้ทัน ซึ่งถ้าเรายังจัดงบประมาณด้วยรูปแบบเดิม ๆ ด้วยวิธีคิดเดิม ๆ ประเทศไทยก็จะยังคงไร้ความสามารถในการรับมือกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  

เราจึงได้เห็นความพยายามของรัฐบาล ในการปรับโครงสร้างงบประมาณ ให้สอดคล้องกับยุคสมัย ผ่านแนวคิดที่เรียกว่า “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” หรือ decentralized flexibility นี่ไม่ใช่แค่ภาษาที่สวยหรู แต่มันสะท้อนอยู่ในตัวเลขและทิศทางการจัดสรรงบประมาณในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้จริง ๆ โดยเรามีการเพิ่มสัดส่วนงบประมาณที่กระจายไปยังหน่วยรับในระดับต่าง ๆ ทั้งระดับกระทรวง รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มมากขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา

การจัดงบประมาณที่ “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” คือการเพิ่มอำนาจไปยังมือของผู้ปฏิบัติในพื้นที่ เพราะคนหน้างานย่อมรู้พื้นที่ดีที่สุด เข้าใจบริบท เข้าใจคน เข้าใจความเร่งด่วน และมีประสบการณ์ตรงในการจัดการ หากแต่รอคำสั่งจากส่วนกลาง หรือรอผ่านกระบวนการที่รวมศูนย์ การช่วยเหลือก็จะล่าช้า และไม่ทันต่อสถานการณ์ การจัดงบประมาณแบบนี้ จะช่วยเพิ่มความเร็วให้กับกลไกรัฐในทุกระดับ และช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ดี การกระจายงบประมาณไปยังหน่วยรับงบประมาณในระดับต่างๆ ที่มากขึ้น เราไม่ได้ทำแบบไร้ทิศทาง หรือต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างใช้ เพราะทุกเม็ดเงิน จะถูกกำหนดโดยเป้าหมายเชิงภารกิจ ที่มีการกำหนดตัวชี้วัดและการประเมินที่ชัดเจน เราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการจัดทำงบประมาณโดยใช้หลัก Mission Oriented เป็นตัวกำกับ   

การจัดทำงบประมาณในลักษณะนี้ ทำให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึง อาจทำให้มีการใช้งบประมาณในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ จะมาจากสองส่วน ส่วนแรกจะถูกจัดสรรมาจากรายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการปรับลดงบประมาณในส่วนของงบกลางและสำนักนายกฯ ให้มีขนาดเล็กลง 

เมื่อพูดถึงงบกลางตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราจะได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอว่า “งบกลาง” เป็นงบที่ใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัว รวดเร็ว และไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนของระบบราชการ จึงกลายเป็นจุดที่ถูกตั้งคำถาม ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และในแง่ของ การตรวจสอบที่รัดกุม

แม้การจัดสรรงบกลาง จะมีเหตุผลรองรับในเรื่องของความจำเป็นเร่งด่วน เรื่องความคล่องตัว และ เรื่องความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะมีเสียงเรียกร้องให้เกิดความสมดุลระหว่าง “ความคล่องตัว” กับ “ความโปร่งใส”

และในร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังเสนอในเวลานี้ มีแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ ที่ตอบโจทย์ข้อเรียกร้องเหล่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะรัฐบาลชุดนี้เลือกที่จะ “ปรับลดงบกลางลง“ มากกว่า 2 แสนล้านบาท และนี่ไม่ใช่การปรับตัวเลขให้ลดลงเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณถึง แนวทางใหม่ในการบริหารงบประมาณของประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับ ความโปร่งใส ตรงเป้าหมาย และกระจายงบประมาณลงไปสู่ภารกิจที่เป็นรูปธรรม

รัฐบาลเพื่อไทย จึงเลือกจะปรับลดงบประมาณในมือของส่วนกลางลง โดยให้กระจายไปสู่หน่วยรับงบประมาณต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากกว่า เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ในระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีอำนาจและทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น ในการรับมือกับปัญหาของประชาชนในพื้นที่อย่างทันท่วงที และสิ่งนี้เอง คือ สาระสำคัญของประชาธิปไตยทางการคลัง นั่นคือ การกระจายอำนาจ ลดการรวมศูนย์ และการสร้างรัฐที่ใกล้ชิดกับประชาชน 

ในโลกยุคปัจจุบัน ความท้าทายใหม่เกิดขึ้นแทบทุกวันแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งภัยธรรมชาติ โรคระบาด สภาวะเศรษฐกิจ และวิกฤตสิ่งแวดล้อม นั่นทำให้ความสามารถในการ “ตอบสนองได้ไว ตัดสินใจได้เร็ว” จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของรัฐที่ดี งบประมาณฉบับนี้ให้ความสำคัญกับความคล่องตัวนั้น แต่เลือกจะทำผ่าน “ระบบที่มีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วม” แทนที่จะอาศัยอำนาจรวมศูนย์ที่ตรวจสอบไม่ได้

และการปรับลดงบกลางในครั้งนี้ ยังมีข้อดีอีกประการหนึ่ง คือเป็นการ “ฝึกให้รัฐเลือกใช้เฉพาะเวลาที่จำเป็น” เพื่อสร้างวินัยทางการคลังให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เพราะเมื่อเงินในส่วนของงบกลางถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทุกการใช้จ่ายจึงต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด รัฐไม่สามารถใช้ “ตามความเคยชิน” หรือ “ตามแรงกดดัน” ได้เหมือนที่ผ่านมา นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างวินัยการใช้จ่ายภาครัฐอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การลดงบกลางลง ยังเท่ากับการ “คืนพื้นที่” ให้กับงบประมาณในส่วนที่สร้างอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น งบลงทุน งบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน งบวิจัยและนวัตกรรม หรืองบพัฒนาระบบดิจิทัลภาครัฐ เพราะเงินทุกบาทมีต้นทุน ยิ่งเราใช้งบกลางน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า เราก็ยิ่งสามารถเพิ่มพื้นที่ให้กับการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อวางรากฐานให้กับอนาคตของประเทศ ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะปรับลดงบกลางลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยความสำคัญของ “งบกลาง” ในฐานะเครื่องมือเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็ว และ อาจมีวิกฤตเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ความยืดหยุ่นของรัฐจึงเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนทันเวลา ดังนั้น “งบกลาง” ที่ใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอน “การขอ” งบประมาณของทางราชการที่ซับซ้อน จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญวิกฤตหนัก ทั้งโรคระบาด ไฟป่า แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภัยแล้ง และฝุ่นพิษ ซึ่งทุกครั้ง “ชีวิต ปากท้อง และทรัพย์สิน ของประชาชนคือสิ่งเดิมพัน” และสิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้วิกฤต คือความล่าช้าและไร้ประสิทธิภาพในการตอบสนองของกลไกรัฐ ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากขาดงบประมาณที่ยืดหยุ่นและคล่องตัวพอ เพราะเมื่อเผชิญวิกฤต รัฐต้องมีงบประมาณที่ “พร้อมใช้” เพื่อให้ตอบสนองรวดเร็ว ลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด ดังนั้น แม้รัฐบาลจะลดงบกลางเพื่อจัดสรรให้ภารกิจอื่น ๆ แต่ไม่ได้แปลว่างบกลางไร้ความสำคัญ

ตัวอย่างของการจัดงบแบบ ยืดหยุ่นแบบกระจาย และ เอาภารกิจนำ คือ การยกระดับการเกษตรของไทย ในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีภาวะโลกรวน และมีภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางอาหาร รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะไม่ปล่อยให้ภาคเกษตรของเราต้องดิ้นรนและอยู่รอดไปวัน ๆ เราได้มีการลงทุนเพื่อยกระดับเกษตรกรไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระบบเศรษฐกิจโลก ผ่านการจัดสรรงบประมาณกว่า 48,000 ล้านบาท ไปยังธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) และ จัดสรรงบเพิ่มเติมอีกกว่า 7,400 ล้านบาทให้กับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อสนับสนุนมาตรการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การลดต้นทุน การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ไปจนถึงการประกันรายได้และพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ส่งออกได้

งบประมาณส่วนนี้ ไม่ได้ลงที่ส่วนกลาง แต่ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์แต่ละพื้นที่ แต่ละประเด็นเป็นการเฉพาะ เช่น การปล่อยกู้ให้กับชาวไร่อ้อย เพื่อเปลี่ยนวิธีการตัดอ้อย เพื่อให้ลด PM 2.5 หรือ การพัฒนาระบบชลประทานนอกเขต เพื่อลดความเสี่ยงของภัยแล้ง

ตัวอย่างที่สองคือ การปราบปรามยาเสพติดแบบครบวงจร เราเคยใช้วิธีจัดการยาเสพติดด้วยแนวคิด “เน้นปราบปรามมากกว่าป้องกัน” และหลายครั้งก็ใช้มาตรการระยะสั้นที่ไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว แต่ในงบประมาณของปี 2569 นี้ รัฐบาลได้ทุ่มงบกว่า 5,400 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนแผนบูรณาการปราบปรามยาเสพติดที่ยืดหยุ่น กระจาย และครบวงจรมากขึ้น ทั้งในเชิงป้องกัน ฟื้นฟู และปราบปราม

โดยงบประมาณส่วนนี้ ไม่ได้รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง แต่กระจายไปยังโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงานที่ทำงานกับเยาวชนอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เยาวชนเข้าใกล้ยาเสพติด ขณะเดียวกันก็สนับสนุนกระบวนการบำบัดอย่างมีศักดิ์ศรี และใช้เทคโนโลยีในการปิดช่องทางการเงินของขบวนการค้ายาอย่างเป็นระบบค่ะ

ตัวอย่างที่สามคือ การกระจายอำนาจและงบประมาณลงทุนสู่ท้องถิ่น ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ การตอบสนองของรัฐอย่างรวดเร็ว คือสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องมากที่สุด รัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณปี 2569 ให้มีความ “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” โดย เพิ่มงบลงทุนในระดับจังหวัดถึง 93% ของจังหวัดทั้งหมด และเพิ่มงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 3.3% และพร้อมสนับสนุนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตาม พ.ร.บ.กระจายอำนาจ อีกราว 4% 

ทั้งหมดนี้คือการลดการรวมศูนย์ในเชิงงบประมาณ และเพิ่มความสามารถให้หน่วยงานท้องถิ่น ให้สามารถซ่อมแซมโรงเรียน สร้างถนน พัฒนาโรงพยาบาล และทำเรื่องต่างๆ ที่ตอบโจทย์ของประชาชนในพื้นที่ได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการอนุมัติจากส่วนกลาง

ร่างงบประมาณ 2569 นี้ มีคุณค่าในฐานะที่ “เป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐไทย” ให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลพยายามวางรากฐาน “ระบบงบประมาณใหม่” ที่ตอบโจทย์การรับมือกับวิกฤตและเป็นการสร้างโอกาสในเวลาเดียวกัน ผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

แนวทางแรก…คือ การ “ยืดหยุ่นแบบกระจาย” ที่เปิดโอกาสให้หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถตอบสนองต่อปัญหาได้ทันท่วงที

แนวทางที่ 2 การ “จัดงบแบบมีภารกิจนำ” ที่ทุกการใช้จ่ายถูกวางไว้ภายใต้เป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงเพื่อบริหารตามแผนงาน แต่เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ

แนวทางที่ 3 การ “ลดการรวมศูนย์งบประมาณ” โดยเฉพาะการปรับลดงบกลางและงบของสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดพื้นที่ให้งบประมาณไปสู่ภารกิจที่จับต้องได้ และหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนมากกว่า

“งบประมาณปีนี้ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางการเงิน แต่คือเครื่องมือของการเปลี่ยนผ่านจากระบบงบประมาณที่เน้นการรวมศูนย์ ไปสู่ระบบที่เปิดโอกาสให้หน่วยงานในพื้นที่มีบทบาท จากการบริหารที่เน้นการควบคุม ไปสู่การบริหารที่เน้นเป้าหมายและผลลัพธ์ และจากรัฐที่คอยตอบสนองเฉพาะเมื่อเกิดปัญหา ไปสู่รัฐที่มีความพร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” น.ส.ขัตติยากล่าว

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #ขัตติยา