อภิปรายญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางรับมือผลกระทบจากนโยบาย Reciprocal Tariffs เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป

นายรวี เล็กอุทัย สส.อุตรดิตถ์  นางสาวสกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย สส.นครสวรรค์ นางฐิติมา ฉายแสง สส.ฉะเชิงเทรา และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางรับมือผลกระทบจากนโยบาย Reciprocal Tariffs เพื่อส่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งนายรวี เล็กอุทัย สส.อุตรดิตถ์พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถาม สส. ในสภาอย่างใกล้ชิด

.

นายรวี เล็กอุทัย สส.อุตรดิตถ์ อภิปรายว่าจากมาตรการภาษีสหรัฐ ซึ่งจะประกาศในไม่ช้า และไม่ว่าจะเป็นตัวเลขที่เท่าไร รัฐจะต้องมีมาตรการรองรับ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการอุดหนุนเยียวยา หรือมาตรการอื่นๆ เพื่อปกป้องผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศให้อยู่รอดและแข่งขันได้

.

นอกจากนี้ นายรวี ยังมีข้อเสนอพลิกวิกฤตเป็นโอกาสคือ การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ผ่านการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และภาคการเกษตรของไทย ทั้งการเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการภาษี รวมถึงส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนผลิต ส่งเสริมเกษตรนวัตกรรม เพื่อสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกร ตลอดจนปกป้องเกษตรกรจากสินค้าต่างประเทศที่ไหลทะลักเข้ามาจากมาตรการภาษีสหรัฐ รวมถึงป้องกันพ่อค้าคนกลางที่จะเข้ามาฉวยโอกาสกดราคาสินค้าโดยอ้างเรื่องภาษี 

และโอกาสนี้ ยังเป็นโอกาสในการปราบปราบบริษัทนอมินีต่างชาติที่จะเข้ามาสูบทรัพยากรไปอย่างผิดกฎหมายและไม่ได้เพิ่มผลผลิตอะไรให้ประเทศไทยเลย

.

“ผมยังเชื่อมั่นว่า ประเทศเล็กๆ จะต้องเดินหน้ารวมกลุ่มเพื่อขยายฐานเศรษฐกิจให้ใหญ่และเป็นรูปธรรม เพราะเราเห็นชัดว่า หากเราต้องการอยู่รอดในอนาคต โครงสร้างเศรษฐกิจแบบระบบภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงสร้างความเข้มแข็ง การถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ

.

พรุ่งนี้ ผลภาษีจะเป็นอย่าง แต่ผมยังเชื่อว่า การเจรจาต่อรองยังไม่หยุด การต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ยังเป็นหน้าที่ของทีมไทยแลนด์ รัฐบาล และขอเป็นกำลังใจให้ท่านได้ทำงานเพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป” สส.อุตรดิตถ์ กล่าว

.

ด้านนางสาวสกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร อภิปรายว่าผลจากภาษีทรัมป์จะกระทบคนสองกลุ่มหลักของประเทศคือ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก

.

ภาคการเกษตรของเราอ่อนแออยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นถั่วเหลือง เรานำเข้าถั่วเหลืองมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ทำไม่เป็นแบบนี้ทั้งที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ก็เพราะว่าในด้านกฎหมาย เราไม่ได้อนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอ ซึ่งถั่วเหลืองคือพืชที่มีสายพันธุ์จีเอ็มโอ แต่เรากลับยอมรับให้มีถั่วเหลืองนำเข้า ถั่วเหลืองที่มีจีเอ็มโอก็จะมีการต้านทานโรคดีกว่าทำให้การแข่งขันของเราสู้ต่างชาติไม่ได้  

.

ภาคการเกษตรเราถูกกระทำอยู่แล้วจากหลายด้านแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์ เราจึงควรเข้ามาใส่ใจอย่างใกล้ชิด มิเช่นนั้น อาชีพเกษตรกรอาจจะหายไปจากโครสร้างอาชีพหลักของคนไทย

.

ส่วนภาคอุตสาหกรรม แม้เกณฑ์ภาษีนี้จะกระทบกับอุตสาหกรรมน้อยกว่าภาคการเกษตร แต่ไม่ได้หมายความว่าน้อยจนไม่เกิดปัญหา แต่ก็ยังจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมหดตัว การจ้างงานลดลง ซึ่งจะคล้ายตอนโควิด ซึ่งเมื่อจ้างงานน้อยลง แรงงานก็จะกลับบ้าน สุดท้ายก็จะไปรวมอยู่กับภาคการเกษตร ซึ่งโครงสร้างภาคเกษตรไทยก็ไม่ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรเติบโต ก็ยิ่งทำให้ปัญหาการเกษตรขยายใหญ่มากขึ้น  

.

“รัฐจะต้องมีมาตรการรับมือ เช่นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเกษตรแบบทั้งระบบห่วงโซ่อุปทานเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบครั้งใหญ่ เพื่อให้เกษตรกรภายในประเทศได้ปรับตัวพัฒนาเพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตแก่เกษตรกรในระยะยาว” นางสาวสกุณา กล่าว

.

นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย สส.นครสวรรค์ อภิปรายโดยแสดงความกังวลถึงปัญหาข้าวโพด เป็นสินค้าเกษตรที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ  เพราะประเทศไทยห้ามเกษตรกรปลูกพืชจีเอ็มโอ แต่กลับเปิดทางให้นำเข้าพืชจีเอ็มโอ  การนำเข้าข้าวโพดจะทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำ  และจะเกิดปัญหาวัตถุดิบสินค้าคาร์โบไฮเดรตล้นตลาด เพราะจากสถิติแสดงให้เห็นว่าไทยมีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับการผลิตอาหารสัตว์  และเราต้องไม่ลืมว่า สหรัฐฯ มีนโยบายสนับสนุนภาคการเกษตร ทั้งการปลูกพืช ปศุสัตว์และพลังงาน ซึ่งหาสินค้าสหรัฐฯเข้ามา จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต่อโครงสร้างเกษตรของไทยในระยะยาวอย่างแน่นอน 

.

นางฐิติมา ฉายแสง สส.ฉะเชิงเทรา อภิปรายแสดงความกังวลประเด็นการนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ โดยมีข้อมูลว่า ต้นทุนการเลี้ยงหมูของสหรัฐฯ อยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยมีต้นทุนอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหากเปิดตลาดเข้ามารับรองได้ว่าผู้ประกอบการไทยลำบากแน่  นอกจากนี้ยังรวมถึงคนกลางในห่วงโซ่อุปทานจะได้รับผลกระทบทั้งผู้ขนส่ง เขียงหมู ตลอดจนเรื่องความปลอดภัยของการใช้สารเนื้อแดงที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย

.

“ทั้งหมดนี้ คือความห่วงใยจากสถานการณ์นี้ และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาล รัฐมนตรี และทีมเจรจาได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” นางฐิติมา กล่าว

.

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายเสนอ 5 แนวทางรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ดังนี้:

.

1. กระจายความเสี่ยงตลาดส่งออก ชี้ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากเกินไป เสี่ยงถูกตั้งกำแพงภาษี แนะเร่งเจรจา FTA กับ EU, กลุ่มอาหรับ, อินเดีย พร้อมขยายตลาดใหม่ในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียกลาง รวมถึงผลักดันแบรนด์ไทยในตลาดเกิดใหม่

.

2. ยกระดับคุณภาพและนวัตกรรมสินค้า (Value-added & Innovation) เสนอส่งเสริม R&D และเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม เน้น BCG, EV, ชิ้นส่วนอากาศยาน และหนุน SME เข้าถึงเงินทุน เพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถแข่งขัน ลดความเสี่ยงจากภาษี

.

3. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศ เสนอแนะลดต้นทุนโลจิสติกส์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟรางคู่และท่าเรือ ปฏิรูประบบภาษีภายในให้เอื้อต่อการส่งออก และเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานด้วยการ Upskill

.

4. ใช้นโยบายรัฐกระตุ้นและปกป้องอุตสาหกรรมไทย เสนอจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ใช้มาตรการตอบโต้ภาษีตามกรอบ WTO และใช้กลไก PPP พัฒนาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ให้ก้าวหน้า

.

5. เร่งปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวและมาตรฐาน ESG โดยเตือนถึงความเสี่ยงจากภาษีคาร์บอนรูปแบบใหม่ที่หลายประเทศเริ่มใช้ แนะหนุนการใช้พลังงานสะอาด ระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้า และผลักดันกฎหมาย ESG สำหรับทั้งรายใหญ่และ SME

.

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า แนวโน้มภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ คาดว่าจะใกล้เคียงกับประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม (20%) และอินโดนีเซีย (19%) พร้อมเน้นว่า ไทยต้อง “เกาะกลุ่ม” ให้ได้ แม้ผลกระทบจะมากหรือน้อย ถือเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างและแก้ปัญหาอย่างตรงจุด

.

รมว.คลังยอมรับว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีแค่เรื่องภาษี แต่ยังรวมถึงต้นทุนสูง การแข่งขันต่ำ ระบบราชการล่าช้า และการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี พร้อมเผย ทีม “ไทยแลนด์” จากทุกกระทรวงร่วมวางแนวทางเจรจา โดยยืนยันหลักการว่า “ซื้อสินค้าในประเทศก่อน แล้วจึงแบ่งสัดส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ” เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์แบบ Win-Win Solution

.

นายพิชัยชี้ว่า สินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ มีราคาถูกกว่าหลายแหล่ง เช่น พลังงาน LNG และข้าวโพด ซึ่งไทยผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน แต่ความต้องการอยู่ที่ 10 ล้านตัน การนำเข้าจึงจำเป็น และจะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ให้เกษตรกร

.

สำหรับพลังงาน ยังอยู่ระหว่างการหารือความร่วมมือสำรวจแหล่งใหม่ โดยเฉพาะในทะเลอันดามัน ซึ่งสหรัฐฯ แสดงความสนใจเข้ามาสำรวจด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

.

ด้านการเตรียมรับมือ รัฐบาลจัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อจ้างงานและลงทุนก่อสร้าง โดยขณะนี้เหลือวงเงิน 4.2 หมื่นล้านบาท เตรียมนำมาใช้ตรวจสอบสินค้าต้นทาง และส่งเสริมการผลิตในประเทศให้ได้มาตรฐานจริง

.

ทั้งนี้ นายพิชัยเผยว่า คืนนี้ (31 ก.ค.) เวลา 20.00 น. จะมีการเจรจารอบสุดท้ายกับสหรัฐฯ คาดหวังว่าจะได้ “ข่าวดี” ต่อท่าทีภาษี ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป

.

#พรรคเพื่อไทย