โฆษกเพื่อไทยย้ำ เขากระโดง เรื่องควรจบตั้งแต่ปี 2560 แต่ไม่จบเพราะกลุ่มการเมืองเข้าแทรกแซงกลไกรัฐ รัฐบาลเดินตามกฎหมาย ไม่ทุบทำลาย ไม่ทิ้งประชาชน รองโฆษกเผย สถานการณ์ปะทะยุติแล้ว รัฐบาลเร่งส่งผู้อพยพกลับบ้าน รมว.มหาดไทยเรียกประชุมผู้ว่าฯ เดินหน้า 5 มาตรการเร่งด่วนดูแลประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชา
10 ส.ค. 2568 ดนุพร ปุณณกันต์ สส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึง กรณีการแก้ปัญหาและการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดงว่า ตลอดช่วงเวลากว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีความพยายามสร้างกระแสให้เกิดความเข้าใจผิดว่า กรณีนี้เป็นการกลั่นแกล้งในทางการเมือง และเป็นการดำเนินการของรัฐบาลที่ไม่สนใจใยดีต่อชีวิตของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
.
“เรื่องนี้ขอเรียนกับพี่น้องประชาชนทุกคนว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่ต้องดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาที่หมักหมมมาอย่างน้อยกว่า 20 ปี เพื่อรักษานิติรัฐ นิติธรรม การบังคับใช้กฎหมาย เราไม่ต้องการให้ผู้มีอิทธิพลและเครือข่าย ใช้คำว่า ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นข้ออ้างในหาผลประโยชน์โดยมิชอบ”
.
ต้องขอย้ำว่า ที่ดินเขากระโดง จำนวน 5,083 ไร่นั้น มีคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อปี 2560 ซึ่งถือเป็นที่สุดว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินของหลวง โดยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย ต่อมาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตการสร้างทางรถไฟ ซึ่งมีการกำหนดเขตการสร้างทางรถไฟจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี รวมถึงพื้นที่บริเวณเขากระโดงในจังหวัดบุรีรัมย์ด้วย ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ที่ดินในบริเวณเขากระโดงเป็นกรรมสิทธิของการรถไฟตั้งแต่ต้น และนี่ ถือว่า ที่ดินผืนนี้คือสมบัติของชาติ ไม่ใช่ที่ดินของใครคนใดคนหนึ่ง
.
ขอเรียนว่า กรณีที่ดินหลวงเขากระโดง เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาออกมาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติการรถไฟยังไม่สามารถเข้าไปจัดการดูแลที่ดินซึ่งเป็นของตนเองได้ จึงได้มีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางในปี 2564 จนกระทั่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งในปี 2566 ให้อธิบดีกรมที่ดิน ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ว่าได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
.
แต่กระบวนการตรวจสอบกลับเต็มไปด้วยความน่าสงสัย และดูเหมือนเป็นความพยายามในการหาช่องทางให้การเพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
.
“หากที่ดินหลวง 5,083 ไร่ อยู่ดีๆ ก็หายไป เชื่อว่า ไม่มีคนไทยคนไหนรับได้ เชื่อว่า เมื่อเราคุยกันบนฐานของข้อมูล จะเห็นว่า การดำเนินการของรัฐบาลเพื่อไทยไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่คือความพยายามในบังคับใช้กฎหมาย ตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา”
.
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า กรณีที่มีการปั่นกระแสในโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุบทำลายสร้างปลูกสร้าง อาคารต่างๆ รวมทั้งบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ขอยืนยันว่ารัฐบาลเพื่อไทย ไม่ได้มีแนวคิดเช่นนั้น และเชื่อว่า เวลานี้ทางรัฐบาล มหาดไทย กระทรวงคมนาคมและการรถไฟเอง กำลังออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหาที่จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
.
“สิ่งใดที่เอกชนดำเนินการไปแล้ว และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทำให้คนในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราไม่คิดที่จะไปทำลาย เพียงแต่เราต้องหาทางออกร่วมกันว่า จะจัดการอย่างไรให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยที่พี่น้องชาวบุรีรัมย์ไม่เสียประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐบาล”
.
ขณะที่ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขาขนุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ตนได้ร่วมลงพื้นที่ร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย พร้อมด้วย มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ให้ความมั่นในจว่า สถานการณ์การสู้รบในพื้นที่สงบลง และเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ระยะของการฟื้นฟู และคืนสภาพสังคมกลับคืนมา
.
โดยรัฐบาลได้มีการประสานรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เพื่อช่วยผประสานดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบที่ชายแดน รวมถึง สส. หลายท่านของพรรคเพื่อไทย ขณะนี้อยู่ในพื้นที่เพื่อประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ และเร่งด่วน
.
ทั้งนี้เมื่อวานนี้ ภูมิธรรม เวชชัย , มาริษ เสงี่ยมพงษ์ , จิราพร สินธุไพร และธีรรัตน์ สำเร็จวานิชย์ ที่ร่วมเดินทางไป ส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้าน ก็ได้เรียกประชุมผู้ว่าราชการ 4 จังหวัด (สุรินทร์, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์) เพื่อติดตามและสั่งการ การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ โดยได้สั่งการใน 5 แนวทางสำคัญ ได้แก่
.
1.ข้อสั่งการเรื่องอำนวยความสะดวกในการกลับบ้าน
ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมช่วยเสริมรถเดินทาง ให้กระทรวงสาธารณสุขช่วยอำนวยความสะดวกรถพยาบาลสำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ และกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย เตรียมอาหารแห้งและของใช้บางส่วน ให้พี่น้องประชาชนกลับไปใช้ในช่วงต้น
.
2.ข้อสั่งการเรื่องสำรวจความเสียหายและการซ่อมแซม
มีคำสั่งให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งตรวจสอบความเสียหาย เพื่อเบิกจ่ายเงินเยียวยา และให้ผู้ว่าราชการประสานทุกส่วนราชการที่ดำเนินการได้ เช่น ทหารช่าง อาชีวะศึกษา และโยธาธิการ ช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน โดยใช้เงินทดรองจ่ายตามกรอบที่ดำเนินการได้โดยเร็ว
.
3. ข้อสั่งการเรื่องการลดภาระค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชน
โดยเตรียมขอมติ ครม. เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาค เว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นเวลา 2 เดือน ระหว่างช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2568
.
4.ข้อสั่งการเรื่องการสำรวจประกอบอาชีพและสาธารณสุข
ทั้งเรื่องสุขภาพกายและใจ โดยกระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุมทั้งประชาชนที่มีการเสียขวัญจากสถานการณ์การสู้รบ และผู้ปฏิบัติงานทั้งทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ทุกคนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเช่นกัน
.
5.ข้อสั่งการเรื่องการตอบแทนเจ้าหน้าที่อาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ
โดยเตรียมขอมติ ครม.เพื่อดำเนินการจ่ายค่าตอบแทน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และเจ้าหน้าที่ต่างๆที่ได้รับแต่งตั้งให้ช่วยดำเนินการในภารกิจดูแลประชาชนระหว่างช่วงอพยพ ในกรอบวงเงินวันละ 120 – 240 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสียงภัยตลอดเวลาที่ผ่านมา
.
“ท้ายที่สุดนี้ ผมย้ำอึกครั้งครับว่า รัฐบาลเพื่อไทย และสส.ในพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ทุกท่านพร้อมประสานความช่วยเหลือแก่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งคืนสภาพความเป็นอยู่ที่ดี คืนวิถีชีวิต คืนรอยยิ้ม บนผืนแผ่นดินไทยนี้ ไปด้วยกันครับ”
