🇹🇭ไทย – สหรัฐฯ 🇺🇸 ปิดดีลภาษีที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? 

📌 ข้อเสนอหลักจากประเทศไทย

.

ไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ ฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้ว การเจรจาครั้งนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยมีอยู่แล้วทั้งหมด 18 กลุ่ม นอกจากนั้น  64% ของสินค้าที่ไทยเปิดลดภาษีให้สหรัฐฯ นั้น จริงๆ แล้วมีภาษี 0% อยู่แล้ว

.

และหากพิจารณาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจ ล้วนมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน 

.

🇰🇷 เกาหลีใต้ 15% (30 กรกฎาคม 2025) 

🇯🇵 ญี่ปุ่น 15% (23 กรกฎาคม 2025) 

🇵🇭 ฟิลิปปินส์ 19% (22 กรกฎาคม 2025) 

🇮🇩 อินโดนีเซีย 19% (22 กรกฎาคม 2025) 

🇻🇳 เวียดนาม 20%  (2 กรกฎาคม 2025) 

.

สำหรับไทย ตัวเลขจบที่ 19% ถือว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ 

.

การเจรจาครั้งนี้  ประเทศไทยมองว่า เป็นการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย-ไม่จำเป็น เพื่อให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ และยกเลิกมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs)  

.

🚗 ลดภาษีนำเข้า “ยานยนต์” จากสหรัฐฯ 

.

ไทยเสนอ ลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ แต่หากพิจารณาดูแล้ว มูลค่านำเข้านั้นต่ำมาก โดยมีมูลค่าประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ / ปี (เทียบกับมูลค่าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมดรวมกว่า 54,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)  ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้า เช่น สินค้าเกษตรและอาหาร, ยาและเครื่องมือแพทย์, วัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพด) และ สินค้าแปรรูปส่งออก (ข้าว, ผัก-ผลไม้, อาหารกระป๋อง)

.

🌽นำเข้าข้าวโพด : บรรเทาต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรไทย 

.

ต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงในประเทศไทยเรานั้น สืบเนื่องจากไทยผลิตข้าวโพดได้เองไม่เพียงพอ ความต้องการข้าวโพดอยู่ที่ 9–10 ล้านตัน/ปี แต่เราผลิตได้แค่ครึ่งเดียว จึงต้องนำเข้าข้าวโพดจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน 

.

การเจรจาเพื่อนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นเพียงการย้ายฐานการซื้อในจำนวนความต้องการเดิมแต่ราคาถูกกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง ประโยชน์ทางอ้อม เรายังสามารถลดปัญหา PM2.5 จากการเผาป่าได้อีกด้วย 

.

ผลพลอยได้คือ เนื้อหมู เนื้อไก่ อาหารทะเลจะถูกลง → ผู้บริโภคได้ประโยชน์ → อุตสาหกรรมไทยแข่งขันได้

.

🌾 เกษตรกรไทยยังได้ประโยชน์ในตลาดสหรัฐฯ 

.

สินค้าหลักอย่างข้าวหอมมะลิ ยังได้เปรียบในการส่งออก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นมูลค่ากว่า 32,000 ล้านบาท ซึ่งการเจรจาภาษีครั้งนี้จะช่วยครัวเรือนไทยกว่า 1 ล้านครัวเรือน ของเกษตรกรชาวนา

.

นอกจากนี้ สินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ เช่น ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง ก็จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง และโอกาสขยายตลาดอีกด้วย 

.

💼 ธุรกิจ–แรงงานไทย ไปต่อ/แข่งขันได้ 

.

ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ รวมมูลค่า 54,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสร้างการจ้างงานมากกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์โดยตรงกว่า 4,000 ราย (กว่า 3,000 รายเป็น SME)

.

การเจรจาครั้งนี้ ไทยจะยังรักษาความได้เปรียบในการส่งออกและดึงดูดการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง

.

📈 สรุปภาพรวมทางเศรษฐกิจ

.

การส่งออกไปสหรัฐฯ ที่คิดเป็นสัดส่วน ~10% ของ GDP ดีลนี้จึงมีนัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และศักยภาพของประเทศในระยะยาว

.

ล่าสุด  30 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง ได้ปรับประมาณการ GDP ในปี 2568  เพิ่มขึ้น จาก 2.1% (ประมาณการเมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (ประมาณการเมื่อกรกฎาคม) ซึ่งรวมผลกระทบ ของภาษีสหรัฐแล้ว

.

ดีลนี้จึงช่วยรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ได้ และยังทำให้ไทยแข่งขันกับประเทศอื่นได้  

.

🤝🇹🇭ทีมไทยแลนด์เดินหน้าเจรจาต่อ!🇹🇭🤝

เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน

.

พรรคเพื่อไทย ขอถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ #ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานาน ท่ามกลางความกดดันและยากจะควบคุม แน่นอนว่าภารกิจของทีมไทยแลนด์ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุกๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน
.

#พรรคเพื่อไทย #ภาษีการค้า #ReciprocalTariff #เจรจาสหรัฐฯ #เศรษฐกิจไทย