“จักรภพ” ชี้ พ.ร.บ.คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทย  สร้างความเท่าเทียมบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …  เข้าร่วมงานเสวนาวิชาการหัวข้อ “เส้นแดนที่มองไม่เห็น พรมแดน ชาตินิยม และการกีดกันมนุษย์” เนื่องในโครงการรัฐศาสตร์วิชาการ ครั้งที่ 33 ประจำปีการศึกษา 2568 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

.

นายจักรภพ กล่าวว่าเริ่มต้นกล่าวว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่หากเรามามองดูในเชิงนโยบายเราจะเห็นว่านโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองความหลากหลายทางวัฒนธรรมยังไม่มีรูปธรรม เราอาจมีเพียงคำใหญ่ๆ ในนโยบาย เช่น นโยบายส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ หรือนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ประเทศเราไม่เคยมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ในขณะที่ทั้งโลกกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นี่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ผ่านการเมืองในฐานะที่เป็นกลไกผลักดันการแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้างด้วยการออกกฎหมาย

พรรคเพื่อไทยจึงร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์และภาคประชาชนแก้ไขปัญหาผ่านการออกพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 18 กันยายน โดยหลักการสำคัญเพื่อรับรองและคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อ คุ้มครองสิทธิ ส่งเสริมวิถีชีวิตดั้งเดิม และสร้างความเสมอภาค ให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงชีวิตตามประเพณีวัฒนธรรมได้ รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลและจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เกิดการยอมรับตัวตนและความเท่าเทียมในสังคม 

.

นายจักรภพ กล่าวต่อว่ากฎหมายนี้ สร้างความเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการลดช่องว่างของความเลื่อมล้ำในสังคม ด้วยส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยให้มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทยโดยใช้ชุมชนเป็นฐานราก เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและมีขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสูงอย่างยั่งยืน,  ด้านการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมพหุวัฒนธรรม การส่งเสริมให้สังคมเรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจพร้อมการยอมรับและเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่ดูถูกเหยียดหยามทางวัฒนธรรม เป็นการวางรากฐานทางความคิดให้คนไทยเห็นคุณค่าของความหลากหลาย มีทักษะชีวิตที่จะดำรงอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่าง เปลี่ยนสังคมไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นสังคมเปราะบางที่มีความเสี่ยงจะเกิดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงไปสู่สังคมที่มีความเข้มแข็งบนความหลากหลายเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการพัฒนาของประเทศ

.

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ มีสาระสำคัญ 5 ประการดังนี้ 

 .

1.กำหนดหลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุความแตกต่างทางเชื้อชาติ 

.

2.กำหนดกลไกการบริหารจัดการแบบบูรณาการโดยมีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน เป็นคณะกรรมการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 

.

3.สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยกำหนดให้จัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแนวทางหรือมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 

.

4.กำหนดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และ

.

5.กำหนดมาตรการเชิงบวกในรูปแบบการจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็น “การจัดการร่วม” (Co-management) โดยที่ยอมรับสิทธิของชุมชนในการดำรงชีวิตควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรภายใต้กฎหมายของรัฐ เปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก “การเผชิญหน้า” ไปสู่ “การหาทางออกร่วมกัน”

.

#พรรคเพื่อไทย #กลุ่มชาติพันธุ์