‘ล้มให้เซฟ เจ็บให้น้อย ลุกขึ้นให้ไว และไปให้ไกลกว่าเดิม’ สนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล  ให้ความช่วยเหลือประชาชนได้เร็วและมีประสิทธิภาพ

นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในเรื่องนโยบายดิจิทัล

[อะไรคือปัญหาที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต้องแก้?]

นายดนุพรกล่าวว่า หลายเหตุการณ์ในปี 2568 ยืนยันว่า “โลกเราเปลี่ยนไปแล้ว” ทั้งโลกความจริงที่เรายืนอยู่ และโลกดิจิทัลที่เราเชื่อมโยงตัวตนของเราอยู่ทุกวินาที ในโลกความเป็นจริง เราเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติและระเบียบโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ในปีนี้ เราเผชิญหน้ากับทั้งภัยพิบัติใหม่ และภัยพิบัติที่เจออยู่แล้วแต่รุนแรงกว่าเดิม ภัยพิบัติเหล่านี้กำลังท้าทายขีดความสามารถของระบบเตือนภัยและการรับมือภัยพิบัติแบบเดิมของประเทศไทย

การประกาศนโยบายกำแพงภาษี (Tariff Wall) ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อการแบ่งขั้วอย่างรุนแรง (Radical Decoupling) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกคืออุตสาหกรรม Data Center ที่เข้ามาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานการผลิต Hard Disk ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน เท่านั้น ทำให้เมื่อเกิดภาวะการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายดังกล่าวขึ้น จะทำให้ประเทศในฝั่งสหรัฐเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น  

อย่างไรก็ดี หนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้โอกาสอันดีนี้หลุดลอยไปคือทุนมนุษย์ที่ยังไม่พร้อม อ้างอิงข้อมูลจาก the International Institute for Management Development หรือ IMD เป็นที่น่าตกใจว่า ไทยมีจำนวนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยีเพียง 28% ต่อประชากรทั้งหมด เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งในฐานะตัวเลือกของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้อย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์แล้ว ตัวเลขบุคลากรทางเทคโนโลยีอยู่ที่ 71% และ 74% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าไทยถึงสามเท่าตัว 

ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เรายังต้องการการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยี

ในโลกดิจิทัล เราต้องรับมือกับปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ และต้องปัญหาช่องว่างทางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศ อาชญากรรมออนไลน์เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมิจฉาชีพออนไลน์ที่ยังคอยวนเวียนเข้ามาหลอกลวงประชาชนด้วยกลวิธีและรูปแบบใหม่ๆ เสมอ 

โดยจากสถิติความเสียหายสะสมจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 พบว่ามีคดีออนไลน์เข้าระบบมากถึง 1.26 แสนคดี สร้างมูลค่าความเสียหายรวมต่อระบบเศรษฐกิจราวหนึ่งหมื่นห้าร้อยล้านบาท นอกจากนี้ เรายังมีปัญหาด้านความปลอดภัยทางดิจิทัลและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งภาคประชาชนและธุรกิจ เป็นที่น่าตกใจว่า ในปี 2566-2567 ประเทศไทยมีเหตุข้อมูลรั่วไหลสูงเป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งตัวเลขนี้เป็นที่น่ากังวลอย่างมากต่ออนาคตทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยทางไซเบอร์ของพี่น้องประชาชนที่รัฐบาลต้องเสริมสร้างบทบาทเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน 

ปัจจุบัน Digital Disruption ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ข้อมูลจาก ITU ชี้ให้เห็นว่า 60% ของ GDP โลก ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล หากไทยขาดโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เราเสี่ยงที่จะล้าหลังและสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจนอกจากนี้ การที่ประเทศไทยขาดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะทำให้กลุ่มเปราะบาง “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” เมื่อเกิดวิกฤติ เนื่องจากขาดข้อมูลที่จำเป็นในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางของกลุ่มคนเหล่านี้ขึ้นไปอีก 

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังขาดมาตรฐานความปลอดภัยกลางของระบบดิจิทัลภาครัฐ จากรายงานของ UNODC พบว่าเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐในเอเชียแปซิฟิกกำลังตกเป็นเป้าหมายของการ Blackhat SEO หรือการแฮกเว็บไซต์ภาครัฐเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นเว็บไซต์ใต้ดินผิดกฎหมายโดยหวังผลให้ปรากฎในผลการค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ ของประชาชน

[การเสริมประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลและระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ]

ในปีนี้เราเพิ่มงบลงทุนในการเสริมประสิทธิภาพทางข้อมูลอุตุนิยมวิทยากว่า 619 ล้านบาท เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลทำให้สถานการณ์ภัยพิบัติเปลี่ยนแปลงไป ผลลัพธ์ที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมอยู่ในมือของพวกเราทุกคน คือ Cell Broadcasting ที่ทุกท่านน่าจะได้รับเสียงแจ้งเตือนในรอบทดสอบเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว

ที่ผ่านมา การแจ้งเตือนภัยธรรมชาติแบบเดิมมีข้อจำกัดสูง ทั้งเรื่องความล่าช้าและการเข้าถึง ทำให้บางพื้นที่ต้องใช้เวลาในการส่งข้อความเตือนภัยนานถึง 15–20 นาที หรือกระทั่งหลายชั่วโมง แต่ด้วยเทคโนโลยี Cell Broadcasting ข้อความเตือนภัยสามารถกระจายไปถึงโทรศัพท์มือถือของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวมีผลสำคัญอย่างมาก ต่อการรับมือและช่วยชีวิตประชาชน โดยกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่า การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในภัยพิบัติที่แจ้งเตือนล่วงหน้าได้ เช่น อุทกภัย ดินถล่ม 24 ชั่วโมง สามารถลดความสูญเสียได้กว่า 30% เช่น ในกรณีที่มีผู้คน 10,000 คนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง การแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยชีวิตได้ถึง 3,000 คน นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับภัยพิบัติ ทั้งภัยจากธรรมชาติและการก่อการร้ายได้อย่างทันท่วงที และลดความสูญเสียของพี่น้องประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม 

[การรับมืออาชญากรรมไซเบอร์และยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล]

ในปี 2569 ดีอีเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการความร่วมมือผ่าน พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับใหม่ ที่เพิ่มมาตรการป้องกันและระงับธุรกรรมอย่างทันท่วงที ลดขั้นตอนการขอรับเงินคืนให้ประชาชน นอกจากนี้ เรายังยกระดับโครงการภายในกระทรวงเพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้  

ยกระดับ AOC 1441 และการช่วยเหลือประชาชนด้านคดี เราใช้งบประมาณราว 248 ล้านบาท และยกระดับศูนย์ AOC 1441 เป็นศูนย์การแจ้งเหตุและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมไซเบอร์แบบ One-stop และพัฒนาระบบการตรวจจับและวิเคราะห์การกระทำความผิดทางเทคโนโลยี 

[ยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งยกระดับมาตรฐาน และเพิ่มมาตรการเชิงรุก]

เราใช้งบประมาณราว 129 ล้านบาท เพื่อให้บริการศูนย์บริการประชาชน PDPA Center และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภาครัฐ อีกทั้งเราใช้งบประมาณราว 109 ล้านบาทเพื่อยกระดับการเฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) ในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้กฎหมายในเชิงรุก และปราบปรามการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล 

[พลิกฟื้นจากวิกฤตและต่อยอดความสามารถในการแข่งขันด้วยนโยบายดิจิทัลไทย]

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ เพื่อความสะดวกในการติดต่อราชการของพี่น้องประชาชน เราพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐด้วยงบประมาณ 2,655 ล้านบาท ข้อมูลจาก OECD ชี้ว่า คลาวด์ภาครัฐช่วยลดต้นทุนการจัดการข้อมูลซ้ำซ้อนได้ 25–30% ของงบ IT รวม และยังช่วยลดความเสี่ยงที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์ การลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริการของรัฐ เร็วขึ้น เชื่อมโยงกันได้ และ ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ไม่ต้องยื่นเอกสารซ้ำซ้อน การลงทุนของเราในครั้งนี้ จะช่วยทำให้พี่น้องประชาชนไม่ต้องถ่ายสำเนาเอกสารเป็นตั้ง ๆ เวลาติดต่อราชการ ทำมาค้าขายและขออนุญาตได้สะดวกขึ้น และไม่ต้องกังวลว่าสำเนาเอกสารสำคัญจะกลายเป็น “ถุงกล้วยแขก” หรือไม่ 

การส่งเสริมและกำกับดูแล Digital ID ของประเทศ เราลงทุนเพิ่มเติมราว 42.7 ล้านบาท ในการเสริมประสิทธิภาพ Digital ID การมีระบบยืนยันตัวตนกลางอย่าง Digital ID ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการวางโครงสร้างรัฐดิจิทัลปีนี้ เราเดินหน้าเพิ่มเติม โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาเชื่อมต่อและใช้งาน Digital ID เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและความสะดวกในการยืนยันตัวตนของประชาชน

นอกจากนี้ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภาครัฐที่มีประสิทธิภาพยังส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง จากรายงานของธนาคารโลกพบว่า ในภาวะการแพร่ระบาดของ Covid-19 ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่เข้มแข็งสามารถให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินต่อประชาชนได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า  

ต่อมาการพัฒนาบุคลากรดิจิทัล ด้วยการส่งเสริมความรู้ความสามารถผ่านการลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Amazon, Google เพื่อให้เกิด Knowledge Transfer มาสู่บุคลากรดิจิทัลของไทยที่มีทักษะระดับสูง เรายังจัดสรรงบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมให้ประชาชน การส่งเสริมทักษะด้าน Coding, STEM และ AI ให้กับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา และการเสริมภูมิคุ้มกันทางด้านการใช้ดิจิทัลอย่างปลอดภัยแก่กลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มอัตราการใช้ดิจิทัลอย่างปลอดภัย และลดอัตราการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ด้วยการลงทุนในครั้งนี้ เราจะได้เห็นน้อง ๆ เยาวชน ได้ใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมในอนาคต อุ่นใจว่าพ่อแก่แม่เฒ่าคนที่เรารักจะมีภูมิคุ้มกันต่อการหลอกลวงทางออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์อีกต่อไป 

[Smart City] 

แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ซึ่งได้รับงบประมาณ 11,467.7 ล้านบาท เป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเมืองไทยสู่ “Smart City” และ “เมืองน่าอยู่” ผ่านนโยบาย 5 ด้านหลัก ได้แก่

1. โครงสร้างพื้นฐานคมนาคม-สาธารณูปโภคอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ Big Data บริหารจัดการจราจร น้ำ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2. กระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับเมืองทั่วภูมิภาคให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ น่าอยู่ และบริการทั่วถึงทุกพื้นที่

3. จัดสรรผังเมืองและรักษาพื้นที่อนุรักษ์พัฒนาเครือข่ายเซนเซอร์และระบบแจ้งเตือนภัยให้รวดเร็ว ปกป้องประชาชนและป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์

4. บริหารจัดการภัยพิบัติและความปลอดภัย พัฒนาเครือข่ายเซนเซอร์และระบบแจ้งเตือนภัยให้รวดเร็ว ปกป้องประชาชนและป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์

5. พัฒนาทุนมนุษย์ด้านดิจิทัล ส่งเสริม Coding, STEM, AI และ Upskill/Reskill เพื่อให้คนไทยพร้อมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่

“งบเมืองอัจฉริยะ” กว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้ จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการ “ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพชีวิตของประชาชน” ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียง “ป้ายชื่อ” เท่านั้น 

“เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่แค่ของใหม่ แต่คือนวัตกรรมที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกคน การดำเนินนโยบายดิจิทัลของรัฐบาลจึงเน้นการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง ลดผลกระทบเมื่อเจอกับวิกฤต พร้อมเสริมความแข็งแรงทางดิจิทัลให้กับประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับโอกาสทางเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศไทยสามารถ ล้มให้เซฟ เจ็บให้น้อย ลุกขึ้นให้ไว และไปให้ไกลกว่าเดิม เพราะเราเชื่อว่าไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรในทิศทางใด พรรคเพื่อไทยยังคงตั้งมั่นดำเนินนโยบายเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนดังเดิม” นายดนุพรกล่าว

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #ดนุพร