“ท่องเที่ยว-กีฬา X วัฒนธรรม” ชี้แจงประชาชน งบไม่มาก…แต่คุ้มค่า เพราะรวมกันหลายกระทรวง – ขณะที่ ‘วธ.-คณะ Soft Power’ พาหนังไทยพาไปคานส์ ได้สำเร็จ! 😲
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ต่อเป็นวันที่ 3-4
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ว่างบประมาณที่จัดสรรให้กระทรวงอาจดูน้อย แต่เป็นการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการกับหลายกระทรวง เช่น คมนาคม มหาดไทย สาธารณสุข และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและติดตามใกล้ชิด
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า งบประมาณปี 2569 มีการจัดสรรไปยังซอฟต์พาวเวอร์และหน่วยงานต่าง ๆ เป็นการลงทุนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนและเอเชียจะลดลงมาก แต่ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยลดลงเพียง 2% โดยมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น เช่น อังกฤษเพิ่ม 20% อิตาลีเพิ่ม 22% โดยเน้นยกระดับคุณภาพนักท่องเที่ยวแทนปริมาณ
รัฐมนตรีกล่าวว่า แม้ในช่วงต้นปีแนวโน้มดี แต่ผลกระทบจากเทศกาลตรุษจีนที่มาเร็วกว่าปกติ รวมถึงเหตุแผ่นดินไหว มีผลต่อตัวเลขนักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำมาประกอบการวางแผน โดยย้ำว่าเป้าหมายของรัฐบาลยังคงสูง และจะพยายามให้บรรลุเป้าให้ได้
เขาให้เหตุผลว่าการใช้งบประชาสัมพันธ์นั้นจำเป็น เพราะรัฐบาลต้องต่อสู้กับกระแสข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบางครั้งเกิดจากการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากภายในประเทศเอง พร้อมกล่าวด้วยความเสียใจต่อกรณีที่มีผู้แทนราษฎรใช้คำว่า “จีนเทา รัสเซียเทา” ในที่ประชุม เพราะอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ
นายสรวงศ์ย้ำว่า รัฐบาลทำงานอย่างหนัก และจะใช้งบประมาณทุกบาทอย่างคุ้มค่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ไม่ใช่ปิดข่าวไม่ดี แต่ต้องแยกแยะ และไม่เหมารวม เพราะทุกประเทศมีทั้งคนดีและไม่ดี เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่อาจมีบางคนกระทำผิด แต่ต้องไม่ตัดสินภาพรวมของประเทศจากกรณีเดียว
ต่อมาวันนี้ (31 พ.ค.) น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ชี้แจงงบประมาณของกระทรวงว่า การดำเนินโครงการต่างๆ ในปีงบประมาณ 2569 ยึดหลักความคุ้มค่า โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเฉพาะการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรมให้ต่อยอดไปเป็นทุนทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับชุมชน สังคม และประเทศ
หนึ่งในโครงการสำคัญที่กระทรวงดำเนินการ คือ งานมหกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และเจรจาธุรกิจ ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องจากงานพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ โดยในการจัดจับคู่เจรจาธุรกิจในปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทให้กับภาคธุรกิจสร้างสรรค์ไทย กระทรวงฯ พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภา และนำไปปรับใช้ในการดำเนินโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเน้นย้ำว่า แผนงานของกระทรวงในปีนี้มีแนวทางหลัก 4 ด้าน ได้แก่:
1. ผลักดันมรดกทางวัฒนธรรมไทยสู่เวทีสากล
ไทยมีแหล่งมรดกโลกที่จับต้องได้แล้ว 5 แห่ง ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย, อยุธยา, แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง, เมืองโบราณศรีเทพ และล่าสุดคือ แหล่งโบราณคดีภูพระบาท ซึ่งไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจแก่คนในพื้นที่ แต่ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ส่งผลทางเศรษฐกิจโดยตรง ในขณะเดียวกัน ยังมีอีก 5 แหล่งที่อยู่ระหว่างรอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ส่วนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ปัจจุบันไทยได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว 6 รายการ ได้แก่ โขน, นวดไทย, โนรา, สงกรานต์, ต้มยำกุ้ง และผ้าเคบาย่า โดยยังมีอีก 4 รายการที่อยู่ในกระบวนการเสนอชื่อขึ้นทะเบียน สิ่งเหล่านี้จะช่วยอนุรักษ์อัตลักษณ์ท้องถิ่น คุ้มครองสิทธิชุมชน และสามารถต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
2. ส่งเสริมคุณวัฒนธรรมให้เกิดคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ
กระทรวงได้เริ่มต้นโครงการท่องเที่ยวโบราณสถานยามค่ำคืน โดยนำร่องที่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างเห็นผลชัดเจนภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ได้ร้องขอให้ขยายเวลาจัดงานออกไป และในปีนี้ กระทรวงฯ ได้ขยายกิจกรรมไปยังปราสาทหินพิมาย พร้อมเตรียมแผนขยายต่อเนื่องไปยังจังหวัดอื่น เช่น สุโขทัย และเชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมให้โบราณสถานกลายเป็นพื้นที่สร้างเศรษฐกิจในชุมชนอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ กระทรวงยังบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อกระจายรายได้ออกจากเมืองหลักไปยังเมืองรอง และเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ชุมชนท้องถิ่น โดยในปีนี้จะมีการจัดงานมหกรรมศิลปะนานาชาติร่วมสมัย Thailand Biennale ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 โดยครั้งนี้จะจัดที่จังหวัดภูเก็ตในช่วงปลายปี ซึ่งนอกจากสร้างภาพลักษณ์ด้านศิลปะร่วมสมัยของไทยให้โดดเด่นแล้ว ยังสามารถเพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ได้อีกจำนวนมาก
3. สนับสนุนประเพณีและอาหารไทยให้เป็น Soft Power
กระทรวงได้ผลักดันประเพณีไทยที่เป็นที่รู้จัก เช่น ลอยกระทง, สงกรานต์, เข้าพรรษา ให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างสีสันและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะประเพณีสงกรานต์ซึ่งเป็นมรดกที่ไม่จับต้องได้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในระดับนานาชาติแล้ว
ในด้านอาหารไทย นอกจากการผลักดันให้ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว ยังได้ดำเนินโครงการ “The Lost Taste – รสชาติที่หายไป” เพื่อฟื้นฟูอาหารพื้นถิ่นที่กำลังจะสูญหาย กระตุ้นให้ทุกจังหวัดนำเสนออาหารประจำถิ่นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ออกสู่สายตาชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหารควบคู่ไปกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นถิ่น
4. ผลักดันอัตลักษณ์วัฒนธรรมไทยผ่านภาพยนตร์และสื่อสร้างสรรค์
อีกหนึ่งแนวทางสำคัญ คือ การสนับสนุนผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และสื่อสร้างสรรค์ ทั้งในช่วงก่อนและหลังการถ่ายทำ เพื่อส่งเสริมให้ผลงานไทยก้าวไกลในระดับนานาชาติ ภายใต้นโยบาย Soft Power ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยยกตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง “ผีใช้ได้ค่ะ” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงฯ และสามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในระดับโลก ด้วยการฉายและคว้ารางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมย้ำว่า กระทรวงไม่ได้ทำหน้าที่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมให้เป็นพลังทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งทางสังคม และเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก พร้อมเดินหน้าอย่างมั่นคงบนแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน
#เที่ยวไทย #Softpower #เพื่อไทย

บทความที่เกี่ยวข้อง
