บทความ “อนาคตของประเทศไทย: เปลี่ยนความเป็นกลางเป็นโอกาส” โดย ดร.นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ กล่าวถึงแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยควรใช้ในยุคโลกหลายขั้ว เพื่อเปลี่ยน “ความเป็นกลางทางการเมือง” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดพันธมิตรทั่วโลก
ดร.นลินีชี้ว่า โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งด้านการค้า เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ แต่ประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่ชัดเจน ได้แก่ ทำเลเชิงยุทธศาสตร์ใจกลางเอเชีย ระบบโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง รวมถึงเสถียรภาพทางการทูตที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก สิ่งเหล่านี้เป็น “ทุนทางยุทธศาสตร์” ที่สามารถต่อยอดเพื่อสร้างความเติบโตระยะยาวได้ หากถูกใช้ด้วยวิสัยทัศน์และความชาญฉลาด
.
🔹 ความเป็นกลาง: จากท่าทีทางการเมืองสู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
.
ดร.นลินีเสนอว่า “ความเป็นกลางของไทย” ซึ่งมีรากฐานจากประเพณีการทูตที่ยืดหยุ่น มีหลักการ และเน้นการปฏิบัติจริง ไม่ควรถูกมองเพียงในมิติการเมือง แต่ต้องเห็นว่าเป็น “ทรัพย์สินเชิงพาณิชย์” ที่ช่วยสร้าง ความสามารถในการคาดการณ์ ให้กับภาคธุรกิจต่างชาติ
.
ในโลกที่มหาอำนาจกำลังแข่งขันกันอย่างรุนแรง บริษัทจากสหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ต่างต้องการฐานการผลิตและลงทุนที่ปลอดภัยจากแรงกระเพื่อมทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยสามารถเป็น “ศูนย์กลางที่เชื่อถือได้ของห่วงโซ่อุปทานโลก” ได้อย่างแท้จริง
.
“ความเป็นกลางของไทยไม่ใช่การอยู่เฉย แต่คือการริเริ่ม” — หมายถึงการเปิดกว้างในการร่วมมือกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติ
.
🔹 เสริมความร่วมมือรอบด้าน: OECD – CPTPP – RCEP – BRICS
.
บทความระบุว่า โลกไม่ได้ถูกกำหนดโดยกลุ่มประเทศใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป การเกิดขึ้นของกรอบเศรษฐกิจใหม่อย่าง CPTPP, RCEP และ BRICS ทำให้เกิด “ภูมิรัฐศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบหลายขั้ว” ซึ่งไทยควรใช้จุดยืนสมดุลเพื่อสร้างโอกาสมากกว่าการเลือกข้าง
.
-ความร่วมมือกับ OECD จะช่วยยกระดับธรรมาภิบาล โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
.
-CPTPP จะเปิดตลาดที่มีมาตรฐานสูงและขับเคลื่อนการค้าข้ามพรมแดนยุคใหม่
.
-BRICS จะขยายโอกาสด้านการลงทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และพลังงานสู่ตลาดเกิดใหม่
.
ในบริบทนี้ อาเซียน ยังคงเป็น “เสาหลัก” ทางเศรษฐกิจ ด้วยประชากรกว่า 670 ล้านคน และ GDP รวม 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 25% — ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่สามารถเป็น “ศูนย์กลางของอาเซียนและสะพานเชื่อมเศรษฐกิจโลก” ได้อย่างมั่นคง
.
🔹 เขตการค้าเสรียุคใหม่: ขยาย FTA กับพันธมิตรหลัก
.
ดร.นลินีระบุว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หลายฉบับที่มีศักยภาพสูง เช่น
.
-FTA ไทย–แคนาดา ที่เพิ่งเริ่มเจรจาอย่างเป็นทางการในปลายปี 2568
-FTA ไทย–เกาหลีใต้ ที่เน้นเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานหมุนเวียน
-การยกระดับ FTA ไทย–เปรู เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดลาตินอเมริกา
-และ FTA ไทย–สหภาพยุโรป (EU) ที่กำลังเป็นจุดสนใจ เพราะจะยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสีเขียวและบริการดิจิทัล
.
อย่างไรก็ตาม ดร.นลินีเตือนว่า “FTA ไม่ใช่รางวัล แต่เป็นเครื่องมือ” — ประโยชน์ที่แท้จริงอยู่ที่การที่ไทยสามารถปฏิรูประบบภายในประเทศให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การยกระดับมาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใสทางธุรกิจ
.
🔹 การลงทุนในคน เทคโนโลยี และความยั่งยืน
.
หัวใจของความสามารถในการแข่งขันของไทย คือ “คนไทย” — บทความเสนอให้เดินหน้าการพัฒนาทักษะบุคลากรต่อเนื่องจากโครงการฝึกอบรมแรงงานกว่า 100,000 คนของรัฐบาลชุดก่อน โดยควรเชื่อมโยงหลักสูตรเข้ากับอุตสาหกรรมจริง สนับสนุน SMEs ให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล และส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต
.
ในเวลาเดียวกัน ไทยต้องเป็นผู้นำด้าน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ผ่านการใช้ ศุลกากรไร้กระดาษ ระบบระบุตัวตนดิจิทัล และพลังงานหมุนเวียน เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มองหาฐานการผลิตคาร์บอนต่ำ
.
“ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขของการเข้าถึงตลาดโลก” — ดร.นลินีย้ำ
.
🔹 การปฏิรูปเพื่อความเชื่อมั่น
.
เศรษฐกิจจะเติบโตได้ ต้องอาศัย ความเชื่อมั่นในกฎระเบียบและธรรมาภิบาล ประเทศไทยจึงควรนำแนวทางของ OECD มาใช้จริง เช่น
.
-ธรรมาภิบาลองค์กรที่ชัดเจน
-การต่อต้านคอร์รัปชัน
-การปรับปรุงกฎหมายการแข่งขันและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
.
รวมถึงควรเผยแพร่ “ตารางเวลาการปฏิรูปที่โปร่งใส” พร้อมตัวชี้วัดที่จับต้องได้ เพื่อแสดงให้นักลงทุนเห็นถึงความจริงจังในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
.
🔹 บทสรุป: ความเป็นกลางคือกลยุทธ์ ไม่ใช่การยืนเฉย
.
ดร.นลินีสรุปว่า อนาคตของไทยในด้านการค้าและการลงทุนต้องยืนอยู่บน 3 เสาหลัก ได้แก่
.
1.การเปิดกว้างพร้อมความน่าเชื่อถือ
2.การปฏิรูปอย่างมีจุดมุ่งหมาย
3.การทูตอย่างสมดุล
.
“ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง “ตะวันออก” หรือ “ตะวันตก” แต่ต้องเลือก “ความก้าวหน้า” ผ่านความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนกติกา ความยั่งยืน และผลประโยชน์ร่วมกัน เรามีทำเลที่ดี ความเป็นกลางที่เคารพได้ และคนไทยที่มีศักยภาพ หากเรายึดมั่นในเส้นทางแห่งความโปร่งใสและการปฏิรูป ประเทศไทยจะไม่เพียงเป็นศูนย์กลางของอาเซียน แต่จะเป็นสะพานเชื่อมเศรษฐกิจหลักของโลกได้อย่างแท้จริง” อดีตประธานผู้แทนทางการค้าไทย กล่าว
.
หมายเหตุ: แปลสรุปอย่างไม่เป็นทางการ
.
ขอขอบคุณบางกอกโพสต์ Thailand’s Future: Turning Neutrality into Opportunity
.
.
#พรรคเพื่อไทย #นลินีทวีสิน
บทความที่เกี่ยวข้อง







