ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว วิกฤตถาโถม และเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรง การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี สามารถบอกได้ว่า รัฐบาลกำลังเตรียมรับมือกับความท้าทายเหล่านั้นอย่างไร ตั้งแต่เริ่มต้น จนสิ้นสุดการอภิปรายงบฯ 69 สส. เพื่อไทยหลายคนลุกขึ้นยืนยันชัดเจน ผ่านการอภิปรายว่านี่คือ งบสำหรับการ ‘เปลี่ยนเกม’ เพื่อให้ไทยอยู่รอดท่ามกลางความผันผวนของโลก

ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ – พลิกวิกฤต เป็น ‘โอกาส’

สะท้อนความพยายามจัดงบประมาณปี 2569 ในการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจาก “ฐานเก่า” สู่ “เครื่องยนต์ใหม่” เพื่อตอบสนองโลกที่เปลี่ยนแปลงรวมดเร็ว ไม่แน่นอน และแข่งขันสูง โดยเน้นการลงทุนเชิงรุกในภาคคมนาคม โครงสร้างดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยว และ Soft Power เช่น เทศกาล กีฬา เรื่องเล่า วัฒนธรรม อาหารเป็น การวางหมุดหมายให้ไทยแทรกตัวเข้าสู่ตลาดโลกใหม่ด้วยเอกลักษณ์ของตนเอง ด้วยคุณค่าใหม่ที่มีรากทางวัฒนธรรมและความร่วมสมัย

งบประมาณ 69 กับ 5 ความท้าทายในโลกที่ผวนผัน

นพดล ปัทมะ ชี้ให้เห็นถึง 5 ความท้าทายใหญ่ของโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์ สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การกีดกันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างฉับผลัน พร้อมเสนอว่าไทยต้องปรับตัวเชิงรุก ไม่ใช่แค่ตั้งรับ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเองได้จัดสรรงบประมาณแบบมองไปข้างหน้า ครอบคลุมทุกความท้าทาย เพื่อให้ประเทศไทยอยู่รอด และเติบโตภายใต้ระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

‘กระจายงบ-ขยายโครงสร้าง’ รับมือวิกฤติ จุดเครื่องยนต์ใหม่เศรษฐกิจไทย (Link)

ไชยา พรหมา ชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางความผันผวนของโลก ทั้งภัยพิบัติ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างงบประมาณจากระบบรวมศูนย์ สู่การกระจายทรัพยากรอย่างมีเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด “ยืดหยุ่นแบบกระจาย”

โดยกระจายงบประมาณซึ่งรวมอยู่ที่ส่วนกลาง ไปยังจังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เปิดทางให้หน่วยงานในท้องถิ่นจัดการวิกฤตใกล้ตัวได้ตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ควบคู่ไปกับการจัดงบสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งการเชื่อมเมืองรองเข้ากับเมืองหลัก เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ การบริหารจัดการน้ำ ลงทุนกับงานวิจัย พัฒนาศักภาพผู้ประกอบการ เพื่อเปิดพื้นที่ใหม่ให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ

จากรางสู่รายได้ จากถนนสู่ตลาดโลก มองใหม่งบ ‘คมนาคม’

นิกร โสมกลาง เสนอว่า งบประมาณด้านคมนาคมปี 2569 ไม่ใช่เพียงการลงทุนใน ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ เช่น ถนน ราง หรือท่าเรือ แต่เป็นการสร้าง ‘โครงข่ายเชื่อมโยงเศรษฐกิจ’ ที่ทำให้ท้องถิ่นสามารถเข้าถึงตลาดในระดับประเทศและระดับโลกได้ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs และยังเป็นการเพิ่มโอกาสและรายได้ใหม่ให้กับประชาชน

เปลี่ยนวิกฤตไซเบอร์ เป็นโอกาสเศรษฐกิจดิจิทัล

ดนุพร ปุณณกันต์ ชี้ให้เห็นว่า งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับนโยบายดิจิทัลคือค่า เครื่องมือป้องกันและสะพานโอกาส ที่จะทำให้ไทยรอดจากวิกฤต และเติบโตในความเปลี่ยนแปลง มุ่งเน้นนวัตกรรมที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน การดำเนินนโยบายดิจิทัลของรัฐบาลจึงเน้นการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง ลดผลกระทบเมื่อเจอกับวิกฤต พร้อมเสริมความแข็งแรงทางดิจิทัลให้กับประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับโอกาสทางเศรษฐกิจ

Entertainment Economy: เปลี่ยนเทศกาล–กีฬา–บันเทิง เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ (Link)

ประเทศไทยกำลังอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการท่องเที่ยวโลก เศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำลังซื้อหด การเดินทางระหว่างประเทศผันผวน แต่ในวิกฤตนั้น ไทยยังคงมีจุดแข็งด้าน Soft Power และโครงสร้างพื้นฐานด้านบริการที่พร้อมจะเติบโต หากมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์

สุรเกียรติ เทียนทอง เสนอว่า “การท่องเที่ยวต้องไม่เป็นเพียงกิจกรรม แต่เป็นยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจ” งบปี 69 จึงต้องวางรากฐานใหม่ ตั้งแต่การยกระดับความปลอดภัยในพื้นที่ท่องเที่ยวด้วย CCTV ไปจนถึงการกระจายกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ตลอดปี ทั้งเทศกาล งานกีฬา และ Entertainment Complex

เขาชี้ว่า แค่เทศกาลสงกรานต์เดียว สร้างเงินสะพัด 3.2 พันล้านบาท จากงบลงทุนเพียง 153 ล้าน คือข้อพิสูจน์ว่า “อุตสาหกรรมบันเทิง–วัฒนธรรม–กีฬา” สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในยุคใหม่

การผลักดันให้ไทยเป็น World Event Hub และ Wellness Destination จึงเป็นมากกว่าภาพลักษณ์ แต่คือการออกแบบโครงสร้างรายได้ระยะยาว ที่ปลดล็อกศักยภาพในแต่ละพื้นที่ โดยมีภาครัฐเป็นผู้สร้างแรงเร่งต้นน้ำ และให้เอกชนต่อยอดอย่างยั่งยืน

งบ 69 พลิกการท่องเที่ยวไทยในยุคเรื่องเล่า เป็นทุนทางวัฒนธรรม เป็นทุนเศรษฐกิจ

​​ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนจากสงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ นักท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมจากการเดินทางเชิงปริมาณ สู่การแสวงหาประสบการณ์ที่ “จริง” และ “เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น” มากขึ้น

ชนก จันทาทอง ชี้ว่า งบประมาณปี 2569 คือโอกาสทองในการปรับทิศทางการท่องเที่ยวไทยให้สอดรับกับเมกะเทรนด์ “Storytelling & Authentic Experience” ที่ทั่วโลกกำลังเดินหน้า ไทยมีทุนวัฒนธรรมมหาศาลกระจายอยู่ทุกจังหวัด แต่ยังขาดระบบสนับสนุนให้กลายเป็นสินค้าท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างแท้จริง งบฯ 69 จึงถูกออกแบบเพื่อยกระดับเรื่องเล่า ภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้กลายเป็น Soft Power และ Creative Economy ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

จากท้องไร่ สู่ตลาดโลก ขายของไทย ขายเรื่องไทย ให้โลกฟัง

ประเทศไทยกำลังติดกับดักเศรษฐกิจที่ “โตไม่ทั่วถึง” และ “พึ่งอุตสาหกรรมเก่า” ที่ไม่สามารถตอบโจทย์ยุคใหม่ กิตติ์ธัญญา วาจาดี เสนอว่า รัฐบาลต้องเร่ง “สตาร์ทเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่” ที่ออกแบบจากฐานราก นั่นคือ เศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีของดีอยู่แล้ว แต่ขาดโอกาสสนับสนุนอย่างเป็นระบบ

เธอเสนอให้ยกระดับสินค้าและบริการชุมชนให้เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ “มีราก มีเรื่องราว และมีมูลค่า” ไม่ใช่เพียงแค่ “ขายของได้” แต่เป็นการสร้างแบรนด์ท้องถิ่นที่เติบโตอย่างมีเอกลักษณ์ในเวทีโลก การสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากในมุมนี้ จึงไม่ใช่แค่การพัฒนา ‘สินค้า’ แต่คือการฟื้นพลังท้องถิ่นให้กลายเป็น “ศูนย์กลางการเติบโตใหม่ของประเทศ”

ภายใต้งบปี 2569 รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจัดสรรงบสนับสนุนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในมิติของอุตสาหกรรมแปรรูป การพัฒนาตลาด และการต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม ทุนมนุษย์ และรายได้ นี่คือการลงทุนในคนตัวเล็ก ที่จะกลายเป็นฟันเฟืองใหญ่ของประเทศในวันหน้า

สนับสนุนคนตัวเล็ก : ยกระดับ SME ปลดล็อกสกิลแรงงาน

มุ่งสร้างความเข้มแข็งจากฐานล่างของระบบเศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับผู้ประกอบการรายย่อย แรงงาน และชุมชนท้องถิ่น ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อนได้อย่างยั่งยืน งบ 69 ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือสนับสนุนคนตัวเล็ก ทั้งการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี นวัตกรรม และตลาดส่งออก พร้อมกับการ ‘กระจายงบ’ คืนให้พื้นที่บริหารจัดการได้ตรงกับบริบทจริง ขณะเดียวกันก็ลงทุนในศักยภาพแรงงาน เพื่อให้สามารถเปลี่ยนจากแรงงานราคาถูก สู่แรงงานทักษะสูงที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต

SME ไทยต้องรอด: งบ 69 หนุนส่งออก-สร้างนวัตกรรม พิชิตระเบียบโลกใหม่

วัชระพล ขาวขำ ชี้ว่า ในยุคที่ระเบียบการค้าโลกกำลังเปลี่ยนไป หน่วยทางเศรษฐกิจ อย่าง SME ที่มีมากกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบด้วย การจักงบประมาณปี 2569 จึงถูกออกแบบมาเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บ 5 ด้าน ให้ SME ไทยมีศักยภาพแข่งขันได้ในเวทีโลก

ไม่ใช่แค่ให้เงินสนับสนุน แต่คือการทำให้ SME ไทย “สู้ได้จริง” บนสนามเศรษฐกิจโลกใหม่ ทั้งในมิติของผลิตภัณฑ์ ต้นทุน การตลาด และการเจรจา

คนคือทุน: งบ 69 ปลดล็อกศักยภาพแรงงานไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญ “วิกฤตโครงสร้างแรงงาน” ที่ทั้งค่าแรงต่ำและแรงงานส่วนใหญ่ยังอยู่นอกระบบ ไม่มีหลักประกัน ไม่มีทักษะที่โลกต้องการ และไม่สามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจใหม่ได้ สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ เสนอว่า รัฐต้องเร่งยกระดับ “แรงงานไทย” อย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานไทยตกหล่นจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เศรษฐกิจโลก และสังคมสูงวัย

งบประมาณปี 2569 จึงถูกออกแบบเพื่อ “ลงทุนในคน” ตั้งแต่การ Upskill/Reskill กว่า 5 แสนคน เพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีใหม่ให้กับแรงงาน ขยายการจัดหางานทั้งในและต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมแรงงานสร้างสรรค์และ Soft Power ไทย เช่น งานศิลป์ งานวัฒนธรรม งานเทคโนโลยี

รัฐบาลยังเร่งสร้าง “ตำแหน่งงานใหม่” โดยเชื่อมภาคเกษตร อุตสาหกรรม และดิจิทัล พร้อมจัดสรรงบเพื่อเยียวยาแรงงานนอกระบบด้วยหลักประกันสุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิการ เพื่อให้แรงงานไทยสามารถมีชีวิตมั่นคง พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่

จากรวมศูนย์สู่พื้นที่: รัฐบาลนี้คืนงบให้ประชาชน

ขัตติยา สวัสดิผล อภิปรายสนับสนุนงบประมาณปี 2569 โดยชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลกำลัง ‘เปลี่ยนวิธีคิด’ ในการออกแบบงบประมาณใหม่ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนเร็ว เปลี่ยนแรง ด้วยแนวคิด ‘ยืดหยุ่นแบบกระจาย’ (Decentralized Flexibility) ซึ่งหมายถึงการปลดล็อกจากระบบงบประมาณที่รวมศูนย์ ล่าช้า และไม่ตอบโจทย์ ลงไปสู่พื้นที่ ให้หน่วยงานที่อยู่ใกล้ประชาชนที่สุด ได้มีอำนาจตัดสินใจ และ มีทรัพยากรในการแก้ปัญหาโดยตรง ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

แนวคิดนี้สะท้อนผ่านการ “ปรับลดงบกลาง” กว่า 2 แสนล้านบาท และจัดสรรงบใหม่ให้ท้องถิ่น โรงเรียน ชุมชน และภาคเกษตรสามารถออกแบบการรับมือกับวิกฤติในพื้นที่ได้เอง นี่ไม่ใช่เพียงการปรับตัวเลข แต่คือการปฏิรูประบบงบประมาณไทยให้ ยืดหยุ่น คล่องตัว มีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วม โดยยึดภารกิจนำการใช้จ่ายทุกบาท เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือเปลี่ยนโครงสร้างรัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ และกระตุ้นศักยภาพท้องถิ่นทั่วประเทศ

ระบบรองรับความเสี่ยง: งบเพื่อสร้าง ‘ชีวิต’ ที่มีคุณภาพ

จัดงบประมาณ 69 เพื่อสร้าง ‘ระบบรองรับ’ การเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และภัยพิบัติที่ถี่ขึ้นในโลกยุคใหม่ แทนที่จะแก้ไขเฉพาะหน้า รัฐบาลเลือกลงทุนระยะยาว ทั้งการบริหารจัดการโครงข่ายน้ำ ระบบขนส่ง การคมนาคม เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าโดยไม่สะดุดเมื่อเกิดวิกฤต พร้อมกันนี้ ยังปรับมุมมองงบต่อสิ่งแวดล้อมจากงบแก้ปัญหา ให้เป็นงบที่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

โครงสร้างพื้นฐาน คือวัคซีนเศรษฐกิจในยุคโลกผันผวน

ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า งบประมาณของกระทรวงคมนาคมที่ขึ้นมานั้น เป็นการเพิ่มในส่วนของงบลงทุนเพิ่มเติม พร้อมขยายความให้เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่ภาระงบประมาณ แต่เป็น “วัคซีน” ป้องกันเศรษฐกิจถดถอย และเป็น “เชื้อเพลิง” ให้ประเทศกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด สร้างแต้มต่อใหม่ในการแข่งขันในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

เปลี่ยนการแก้ปัญหา ‘น้ำ’ เฉพาะหน้า สู่การลงทุนวางระบบ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ

พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ สะท้อนการเปลี่ยนมุมมองจาก “น้ำคือภัย” สู่ “น้ำคือทุน” ที่สามารถต่อยอดทั้งชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ ภายใต้สถานการณ์ “โลกเดือด” และภูมิอากาศสุดโต่ง รัฐบาลจึงเสนอให้ปี 2569 เป็นจุดเปลี่ยนของการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ด้วยงบรวมกว่า 134,660 ล้านบาท

การผันงบจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตท มาสู่โครงการเกี่ยวกับน้ำกว่า 200,000 โครงการทั่วประเทศ แสดงถึง “เจตจำนงการลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างระบบที่มั่นคงถาวร ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมเฉพาะหน้า

ทั้งนี้ แผนงาน 5 ด้าน ได้แก่ น้ำกินน้ำใช้, น้ำเพื่อเกษตร, ป้องกันน้ำท่วม, พัฒนาโครงสร้างน้ำในเมือง, และฟื้นฟูระบบนิเวศ ล้วนมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มรายได้ สร้างงาน และสร้างฐานทรัพยากรที่มั่นคงในระดับประเทศ

งบประมาณฉบับนี้ไม่ใช่แค่รายจ่ายประจำปี แต่คือ “การลงทุนในอนาคตของทุกคน” ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิต กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และเปลี่ยนภาคเกษตรจากเสี่ยงพัง เป็นมั่นคงยั่งยืน

บทเรียนแผ่นดินไหว-น้ำท่วม งบ 69 ปฏิรูปการจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ

ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ย้ำว่าในยุคที่โลกเผชิญภัยธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดาไม่ได้ งบประมาณปี 2569 ด้านการจัดการภัยพิบัติจึงต้องเป็น “การลงทุนระยะยาว” เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้ประเทศ ไม่ใช่แค่ตั้งรับ แต่คือการวางรากความมั่นคงให้ชุมชนมีส่วนร่วม พึ่งพาตนเองได้ และลดความเสียหายจากวิกฤติในอนาคต โดยมุ่งเน้นการลงทุนเชิงป้องกันที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยาหลังเกิดเหตุ

ปรับแนวคิดสิ่งแวดล้อม จากงบแก้ปัญหา สู่การลงทุนเพื่อโอกาส

รวี เล็กอุทัย ชี้ว่า งบด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 147,000 ล้านบาท ไม่ใช่แค่งบ “ซ่อมแซมธรรมชาติ” แต่คือการลงทุนเพื่อรากฐานเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตในอนาคต ภายใต้ยุทธศาสตร์ “การเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ท่ามกลางโลกที่เผชิญกับภาวะ “โลกเดือด” และมาตรการด้านคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้น สิ่งแวดล้อมกลายเป็นตัวชี้วัดความพร้อมและความน่าเชื่อถือของประเทศต่อเวทีโลก

ประเทศไทยต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันทั้งในด้านภัยพิบัติ ภาคเกษตร อุตสาหกรรม และสุขภาพประชาชน โดยเน้น “การป้องกันมากกว่าการแก้ไข” ผ่านงบ Mitigation, Adaptation และ Resilience ซึ่งครอบคลุมทั้งการลดคาร์บอน การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการจัดการภัยธรรมชาติ

นอกจากนี้ ยังมีงบส่งเสริม Green Economy พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า ตลาดคาร์บอน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ซึ่งผสานเข้ากับโมเดล BCG และใช้เครื่องมือประเมินผลด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ จึงนับเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ลงทุนในมนุษย์ : ยกระดับ การศึกษา วิจัย สุขภาพฯ

มุ่ง ‘ยกระดับทุนมนุษย์’ ให้เป็นกำลังหลักของประเทศในโลกที่แข่งขันด้วยคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ รัฐบาลใช้งบเพื่อปฏิรูประบบการศึกษา ทักษะแรงงาน และงานวิจัย เพื่อให้คนไทยพร้อมสำหรับเทคโนโลยีใหม่ ตลาดแรงงานใหม่ และเศรษฐกิจใหม่ ในด้านสุขภาพ งบประมาณปี 69 ได้เปลี่ยนมุมมองจากการเยียวยาเป็นการเสริมศักยภาพ ด้วยการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ และวางตำแหน่งไทยให้เป็น Wellness Hub ของโลก

ยกเครื่องทรัพยากรมนุษย์ 3 มิติ การศึกษา งานวิจัย การปฏิรูปทักษะ

ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคสงครามการค้า เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ได้ทำให้ “คน” กลายเป็นทุนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จึงจัดงบประมาณปี 2569 เพื่อเร่งลงทุน 3 มิติ คือ ยกระดับระบบการศึกษา, เร่งพัฒนางานวิจัยต้นน้ำ และเทคโนโลยีอนาคต, และ ปฏิรูปทักษะแรงงานเชิงโครงสร้าง

จากโครงการ “Thailand Zero Dropout” ที่ช่วยดึงเด็กหลุดออกจากระบบกลับคืนสู่การเรียนกว่า 95% สู่การพัฒนา “STEM–AI–Soft Power” ให้เป็นหัวใจของการศึกษายุคใหม่ รัฐบาลยังได้สนับสนุน “Higher Education Sandbox” ร่วมกับภาคเอกชนออกแบบหลักสูตรตรงตามความต้องการอุตสาหกรรม สร้างทักษะให้คนไทยพร้อมแข่งขัน

นอกจากนี้ รัฐยังลงทุนวิจัย 19,800 ล้านบาท ในสาขายุทธศาสตร์ เช่น EV, Semiconductor, AI และ BCG เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ระดับโลก ผ่านทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นต่อความผันผวนของระเบียบโลกใหม่

งบสุขภาพ 69: เปลี่ยนภาระเป็นพลัง เสริมระบบปฐมภูมิ ดันไทยสู่ Wellness Hub โลก

นพ.โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย อภิปรายสนับสนุน พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 โดยเสนอให้ “งบสาธารณสุข” ถูกมองใหม่ว่าเป็น “การลงทุนในศักยภาพประชาชนและประเทศ” ไม่ใช่แค่ภาระรายจ่าย ชี้ว่าระบบสุขภาพไทยต้องปรับตัวเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ลดภาระโรคเรื้อรัง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิอย่าง รพ.สต. ซึ่งเป็นด่านหน้าของการดูแลประชาชน พร้อมผลักดันแพทย์แผนไทย สมุนไพรไทย และ Wellness Tourism เป็นเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างทั้งงาน รายได้ และสร้างชื่อเสียงให้ไทยในตลาดโลก

ขณะที่งบปี 69 ก็ได้จัดสรรเพื่อเพิ่มค่าบริการผู้มีภาวะพึ่งพิง อสม. และบริการร่วมกับท้องถิ่นกว่า 1.7 แสนล้านบาท ถือเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อยกระดับ “สุขภาพไทย” เป็น “ต้นทุนการแข่งขันระดับโลก”

สุขภาพดี = ประเทศมั่นคง งบ 69 กับภารกิจวางรากฐานระบบสุขภาพแห่งอนาคต

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ขณะที่แรงงานขาดแคลน และค่าใช้จ่ายสุขภาพพุ่งสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี งบประมาณ 2569 จึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหา แต่คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” เพื่อเตรียมระบบรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รวดเร็ว

สรัสนันท์ อรรณพพร อภิปรายว่า หนึ่งในหัวใจสำคัญคือการยกระดับระบบปฐมภูมิ โดยเฉพาะ เครือข่าย อสม. ให้มีบทบาทเชิงรุก พร้อมสนับสนุนด้วยกฎหมายและสวัสดิการ ผ่าน พ.ร.บ.อสม. เพราะ “การป้องกัน” มีต้นทุนต่ำกว่าการรักษาเสมอ

งบฯ เพิ่มเติมกว่า 104,000 ล้านบาทให้ สปสช. และอีกกว่า 4,200 ล้านบาทในเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ จะช่วยเสริมศักยภาพ รพ.ขนาดเล็ก พร้อมยกระดับการดูแลผู้สูงอายุที่มีโรคซับซ้อน ลดการส่งต่อ และลดภาระขาดทุนสะสม

ขณะเดียวกัน งบกว่า 1,900 ล้านบาทเพื่อยกระดับแพทย์แผนไทยและ Wellness Tourism ก็จะเป็นกลไกสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ไทยมีจุดแข็ง โดยเฉพาะการผลักดันให้ไทยเป็น Wellness Destination ระดับโลก

การดูแลระยะยาวในชุมชน โดยใช้ อสม. และระบบสุขภาพชุมชน จะช่วยลดภาวะพึ่งพิง ลดภาระลูกหลาน และเพิ่มโอกาสการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังจัดงบเฉพาะ เช่น 726 ล้านบาทสำหรับสร้างสภาพแวดล้อมผู้สูงอายุ และ 154 ล้านบาทพัฒนาบริการส่งเสริมสุขภาพทุกวัย สะท้อนว่ารัฐบาลไม่เพียงมองปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่ลงมืออย่างเป็นรูปธรรม

กระจายโอกาส กระจายทรัพยากร ปรับโครงสร้างงบฯ ตอบโจทย์พื้นที่

สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจาก ‘งบรวมศูนย์’ สู่ ‘งบเพื่อพื้นที่’ ที่ยืดหยุ่น ตอบสนองได้ตรงกับปัญหาเฉพาะของแต่ละภูมิภาค รัฐบาลใช้งบประมาณปี 2569 เป็นเครื่องมือกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการวางแผน พัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมกับขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงโอกาสจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และจากท้องถิ่นสู่โลก แนวทางนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบ แต่ยังคืนความไว้วางใจและศักดิ์ศรีให้กับประชาชนในพื้นที่ ให้เขากำหนดอนาคตของตนเองได้มากขึ้น

จากรวมศูนย์สู่พื้นที่: รัฐบาลนี้คืนงบให้ประชาชน

ขัตติยา สวัสดิผล อภิปรายสนับสนุนงบประมาณปี 2569 โดยชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลกำลัง ‘เปลี่ยนวิธีคิด’ ในการออกแบบงบประมาณใหม่ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนเร็ว เปลี่ยนแรง ด้วยแนวคิด ‘ยืดหยุ่นแบบกระจาย’ (Decentralized Flexibility) ซึ่งหมายถึงการปลดล็อกจากระบบงบประมาณที่รวมศูนย์ ล่าช้า และไม่ตอบโจทย์ ลงไปสู่พื้นที่ ให้หน่วยงานที่อยู่ใกล้ประชาชนที่สุด ได้มีอำนาจตัดสินใจ และ มีทรัพยากรในการแก้ปัญหาโดยตรง ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

แนวคิดนี้สะท้อนผ่านการ “ปรับลดงบกลาง” กว่า 2 แสนล้านบาท และจัดสรรงบใหม่ให้ท้องถิ่น โรงเรียน ชุมชน และภาคเกษตรสามารถออกแบบการรับมือกับวิกฤติในพื้นที่ได้เอง นี่ไม่ใช่เพียงการปรับตัวเลข แต่คือการปฏิรูประบบงบประมาณไทยให้ ยืดหยุ่น คล่องตัว มีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วม โดยยึดภารกิจนำการใช้จ่ายทุกบาท เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือเปลี่ยนโครงสร้างรัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ และกระตุ้นศักยภาพท้องถิ่นทั่วประเทศ

‘กระจายงบ-ขยายโครงสร้าง’ รับมือวิกฤติ จุดเครื่องยนต์ใหม่เศรษฐกิจไทย

ไชยา พรหมา ชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางความผันผวนของโลก ทั้งภัยพิบัติ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างงบประมาณจากระบบรวมศูนย์ สู่การกระจายทรัพยากรอย่างมีเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด “ยืดหยุ่นแบบกระจาย”

โดยกระจายงบประมาณซึ่งรวมอยู่ที่ส่วนกลาง ไปยังจังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เปิดทางให้หน่วยงานในท้องถิ่นจัดการวิกฤตใกล้ตัวได้ตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

ควบคู่ไปกับการจัดงบสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งการเชื่อมเมืองรองเข้ากับเมืองหลัก เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ การบริหารจัดการน้ำ ลงทุนกับงานวิจัย พัฒนาศักภาพผู้ประกอบการ เพื่อเปิดพื้นที่ใหม่ให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ