ชี้สูตร ‘20 หยิบ 1’ ตัดสิทธิประชาชนร่วมร่าง รธน. เสนอใช้ระบบ ‘สสร.’ เลือกโดยประชาชนก่อนหนึ่งชั้น ป้องกันเสียงข้างมากในรัฐสภาครอบงำร่างรัฐธรรมนูญ
9 ธ.ค. 2568 ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในชั้นกรรมาธิการ ขณะนี้ได้ข้อสรุปในประเด็นสาระสำคัญ ซึ่งเกิดจากกรรมาธิการเสียงข้างมาก ว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น จะเกิดขึ้นจากกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน และกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นฯ จำนวน 35 คน
โดยวิธีการได้มาซึ่งคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ จะใช้สูตรที่เราเรียกกัน 20 หยิบ 1 หมายความว่า หากสมาชิกรัฐสภา รวมตัวกันได้ 20 คนก็จะสามารถเลือกกรรมธิการได้ 1 คน หากพรรคการเมืองใดมีสมาชิก 120 คน ก็สามารถเลือกกรรมาธิการได้ 6 คน เป็นต้น
“การใช้สูตรเช่นนี้ถือว่าเป็นการตัดการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนออก เดิมร่างหลักซึ่งเป็นของพรรคประชาชน ได้กำหนดให้ประชาชนเลือกกันมา 70 คนก่อน แล้วให้รัฐสภาเลือกให้เหลือ 35 คน แต่มีการตัดการเลือกของประชาชนออกเพราะคิดว่าหากให้ประชาชนเลือกแล้ว อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”
“สูตรเช่นนี้(20 หยิบ 1) เรามีข้อวิพากษ์วิจารณ์กันในชั้นกรรมาธิการว่า อาจจะทำให้เสียงข้างมากของรัฐสภานั้นสามารถเลือก กรรมาธิการที่จะเข้าไปยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นอาจเป็นไปตามความต้องการของรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ได้ ใครคุมรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ได้ก็จะสามารถชี้นำรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้“
ชูศักดิ์ ระบุว่า ในนามคณะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยของพรรคเพื่อไทย จึงได้มีการขอสงวน และขอแปรญัตติในประเด็นสำคัญ 2 ประการคือ
1.ควรให้มีการใช้ระบบ สสร. เพราะจะทำให้เกิดสภาเฉพาะขึ้นมาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ และสามารถกลั่นกรองร่างรัฐธรรมนูญก่อนนำเสนอสู่รัฐสภาได้
“จึงนำเสนอ แนวทาง สสร. ตามฉบับที่พรรคเพื่อไทยเคยคิดไว้ในวาระที่หนึ่ง โดยให้มีการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชนทั้งหมด 300 คน ก่อนจะส่งมาให้รัฐสภาเลือกเหลือ 100 คน ประกอบกับการแต่งตั้งจากกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ อีก 51 คน รวมเป็น สสร. 151 คน
ประเด็นสำคัญเราเชื่อว่าการใช้วิธีการนี้ ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หมายความว่า ให้ประชาชนเลือกมาชั้นหนึ่ง และยังไม่ได้ถือว่าเป็นการเลือกผู้ร่างโดยตรง ซึ่งรัฐสภาจะมากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง”
ส่วนประเด็นที่ 2 ชูศักดิ์ ระบุว่า การได้มาซึ่งคณะกรรมาธิการสองคณะตามที่ได้เรียนไว้แล้วข้างต้น ซึ่งเป็นการใช้สูตร 20 หยิบ 1 นั้น อาจจะนำไปสู่การได้มาซึ่งกรรมาธิการที่เลือกข้าง พรรคเพื่อไทยจึงสงวนคำแปรญัตติว่า ให้สองกรรมาธิการนี้ มีจำนวน 35 คนเท่าเดิม แต่ในจำนวนนี้ให้มี 10 คนที่มาจากการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และอีก 25 คนที่เหลือมาจากการใช้สูตรคำนวณแบบ 28 หยิบ 1 แทน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลในการทำหน้าที่ของกรรมาธิการ และจะทำให้กรรมาธิการทั้งสองชุดนี้มีความหลากหลายมากขึ้น
ชูศักดิ์ย้ำว่า ในวาระการพิจารณาวาระที่ 2 สมาชิกรัฐสภาจะต้องเลือก จะใช้สูตรการได้มาซึ่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญแบบใด ในการมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เลือกสูตร 20 หยิบ 1 แต่พรรคเพื่อไทยเสนอแปรญัตติ ให้มีการตั้ง สสร. และเปลี่ยนแปลงวิธีการได้มาซึ่งกรรมาธิการสองคณะ
ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส. จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ในนามกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ข้อความกังวลของพรรคเพื่อไทยที่มีต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา 256 นี้ มีอยู่ด้วยกันสองเรื่องใหญ่
โดยเรื่องที่หนึ่งคือ เรื่องที่มาของกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน และเรื่องที่สองคือ กระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งกรรมาธิการในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ได้สงวนและขอแปรญัตติในสองเรื่องนี้ไว้ เพื่อป้องกันการจัดตั้ง หรือการฮั้ว เนื่องจากหากใครสามารถที่จะคุมเสียงข้างมากในรัฐสภา ซึ่งรวมถึงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไว้ด้วย ก็จะสามารถควบคุมทิศทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เพราะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 ท่าน จะทำหน้าที่ทั้งการยกร่างรัฐธรรมนูญ และการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญไปพร้อมกัน ก่อนที่จะส่งร่างให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ
นพ.ชลน่าน ระบุด้วยว่า หากในการพิจารณาวาระที่สองที่กำลังจะถึงนี้ สมาชิกรัฐสภาตัดสินใจเห็นด้วยไปในทิศทางเดียวกันกับที่พรรคเพื่อไทยได้ขอสงวน และขอแปรญัตติไว้ ก็จะสามารถลดการครอบงำจากสีใดสีหนึ่งได้
ส่วนวิธีการพิจารณา พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า หากมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. ก็จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับประชาชน และชอบธรรมมากยิ่งขึ้น โดยตามกระบวนการกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน จะเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และส่งร่างมาให้กับสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้พิจารณาในรายละเอียดต่อไป ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้จะทำให้เกิดการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
“แต่ประเด็นนี้จะได้รับการเห็นชอบในรัฐสภาหรือไม่ก็ต้องรอ การพิจารณาในรายมาตราที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่พรรคเพื่อไทยยืนยัน ว่าจะลงมติให้ความเห็นตามกรรมาธิการเสียงข้างน้อยของพรรคเพื่อไทยที่ขอสงวน และขอแปรญัตติไว้”
นอกจากนี้ ชูศักดิ์ ย้ำด้วยว่า หากการพิจารณาในวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการพิจารณาในวาระที่สามในอีก 15 วันถัดไป โดยในวาระที่สามนั้นจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา และในจำนวนนี้จะต้องได้เสียงเห็นชอบจากส.ว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามด้วย ซึ่งในเวลานี้ยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านในวาระที่สามหรือไม่ ฉะนั้นจึงขอเรียกร้องไปยังคณะรัฐมนตรี ให้มีการพิจารณาคำถามประชามติคำถามที่หนึ่ง ถามประชาชนว่าต้องการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เพื่อส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน โดยให้ทำไว้เป็นหลักประกันว่า ไม่ว่าผลการลงมติในอนาคตจะเป็นอย่างไร สมาชิกรัฐสภาชุดใหม่ จะต้องเดินตามมติของประชาชน หากประชาชนประสงค์ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น
ทั้งนี้จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ย้ำด้วยว่า การตั้งคำถามประชามติ ครั้งที่หนึ่งก่อน ไม่ได้ขัดหรือแย้ง กับกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่กำลังเดินอยู่ และหากกระบวนการนี้เสร็จ คณะรัฐมนตรีก็สามารถส่งคำถามประชามติคำถามที่สองให้กับ กกต. ต่อได้
“แต่ที่เราเรียกร้องให้มีการตั้งคำถามประชามติคำถามที่หนึ่งก่อน ก็เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ว่าหลังจากการเลือกตั้ง อย่างน้อยกระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเดินหน้า” จุลพันธ์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีสัญญาณกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ยังอยู่บนความไม่แน่นอน เรื่องนี้ส่งผลต่อการพิจารณายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยหรือไม่
จุลพันธ์ ระบุว่า ในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลก็ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ถูกบรรจุเข้าไปในประเด็นการอภิปรายไว้วางใจของพรรคเพื่อไทยแล้ว รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้งในชายแดนไทยกัมพูชาด้วย ส่วนที่ถามว่าประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญนั้นมีส่วนต่อการตัดสินใจกับการยื่นอภิปรายด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัจจัยร่วม แต่เวลานี้ยังไม่มีข้อสรุปสุดท้าย
ด้านนพ.ชลน่าน กล่าวเสริมว่า ประเด็นเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญมาก ซึ่งในอีกสองวันจะได้ทราบว่าทิศทางในการได้มาซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไร เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยได้สงวนความเห็นไว้หรือไม่ หรือเป็นไปตามเสียงของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยเรื่องนี้จะเป็นตัวบอกว่าเราจะ เป็นปัจจัยประกอบการพิจารณา เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“หากร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปตามมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก เรามองไปในอนาคตได้เลยว่า รัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นใหม่ มันจะเป็นรัฐธรรมนูญที่โน้มเอียง ไปสู่การเป็นรัฐธรรมนูญของสิ่งใดสีหนึ่งเป็นการเฉพาะตามเสียงข้างมากในรัฐสภา”
#พรรคเพื่อไทย #ชูศักดิ์ศิรินิล #ชลน่านศรีแก้ว #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #สสร. #ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ #การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
บทความที่เกี่ยวข้อง
10 ธ.ค. 68 เอกพร รักความสุข กรรมาธิการ(จากพรรคเพื่อไทย) ซึ่งสงวนความเห็นในมาตรา 256/2 อภิปรายระบุว่า ในมาตรา 256/1 มติของรัฐสภาไม่เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เราต้องจำยอมให้มีระบบที่ออกแบบคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และคณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น 35 คน
อ่านต่อ
10 ธ.ค. 68 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ว่า มาตรา 256/1 เป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเป็นการกำหนดองค์กรที่จะมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก กำหนดไว้ 2 องค์กร คือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และ คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
อ่านต่อ