10 ธ.ค. 68 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ว่า มาตรา 256/1 เป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเป็นการกำหนดองค์กรที่จะมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก กำหนดไว้ 2 องค์กร คือ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และ คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
พรรคเพื่อไทยเห็นต่างและได้สงวนความเห็นไว้ โดยเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256/1 ให้จัดตั้งเป็น “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)” เพราะเห็นว่าเป็นรูปแบบที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมจากประชาชนมากกว่า ทั้งยังมีหลักประกันเรื่องความเป็นอิสระมากกว่าการให้รัฐสภาแต่งตั้งเพียงกรรมาธิการสองชุดดังกล่าว
นายชูศักดิ์ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเสนอให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกของประชาชนทั่วประเทศ 300 คน ก่อนให้รัฐสภาคัดเหลือ 100 คน โดยมีหลักประกันว่าอย่างน้อยต้องมีผู้แทนจากทุกจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และสะท้อนเจตจำนงของประชาชนทั่วประเทศ พร้อมยืนยันว่ารูปแบบนี้ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการ “เลือกตั้งโดยอ้อม” ไม่ใช่การเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
ทั้งนี้ นายชูศักดิ์ยังเห็นว่า จำนวน 100 คนอาจไม่เพียงพอในการร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จึงเสนอให้เพิ่มเติม ส.ส.ร. อีก 51 คน จากการเสนอขององค์กรต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงและมีความรอบด้านในเชิงสังคม การเมือง และบริหารราชการแผ่นดิน
เช่นเดียวกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม อภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา ระบุว่า การไม่มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)” เป็นจุดอ่อนสำคัญของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะจะทำให้การร่างทั้งหมดอยู่ในมือของคณะกรรมาธิการและรัฐสภาเพียงฝ่ายเดียว เสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็น “รัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา” มากกว่าของประชาชน และอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทั้งกับรัฐสภาและประชาชนที่รู้สึกถูกกันออกจากกระบวนการกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศ
นายจาตุรนต์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เป็นองค์กรขั้นกลางระหว่างคณะกรรมาธิการยกร่างกับรัฐสภา เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจากหลากหลายภาคส่วนที่เชื่อมโยงกับประชาชนเข้ามามีบทบาท โดยให้ประชาชนมีส่วนเลือกทางอ้อมก่อนที่รัฐสภาจะคัดกรองและให้ความเห็นชอบในขั้นสุดท้าย
เขาอธิบายว่า หากมีสสร. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจะมีการตรวจสอบหลายชั้น คณะกรรมาธิการยกร่างจะเสนอร่างให้สสร.พิจารณาอย่างรอบด้าน ก่อนส่งกลับให้รัฐสภาพิจารณา แล้วให้สสร.ทบทวนอีกครั้ง ก่อนนำไปทำประชามติของประชาชน ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่า
ส่วน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ระบุว่า พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วมในกของประชาชนในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ โดยองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั้น จำเป็นจะต้องมีที่มาที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำชี้นำ โดยกลุ่ม หรือโดยสีใดทั้งสิ้น
จึงเห็นควรสนับสนุนให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น แต่เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญห้ามผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของพี่น้องประชาชน พรรคเพื่อไทยจึงเสนอให้มีที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมร่วมของรัฐสภา แต่รายชื่อที่จะนำเข้ามาสู่การคัดเลือกนั้น จะต้องผ่านการเลือกโดยประชาชนมาก่อนชั้นหนึ่ง
ส่วนกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น หากยังคงเป็นไปตามร่างของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ก็มีโอกาสที่จะถูกครอบงำชี้นำโดยสีใดสีหนึ่ง และกรรมธิการร่างรัฐธรรมนูญข้างต้นนี้ นอกจากจะมีอำนาจหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญด้วย ก่อนที่จะนำเสนอต่อรัฐสภา ให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อไป
ด้านขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการฯ ร่วมอภิปราย โดยขัตติยา เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในฐานะองค์ประกอบที่ 3 ที่จะทำหน้าที่ยึดโยงการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้ากับประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย อันเป็นเงื่อนไขสำคัญของความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญที่จะยกร่างต่อไป
ขัตติยา อธิบายที่มาของ สสร. ทั้งหมด 151 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นการเลือกจากประชาชนทั้งประเทศ 300 ก่อน ก่อนรัฐสภาเลือก 100 คน กระบวนการนี้ทำให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตัวแทนจากทุกจังหวัด และในกลุ่มที่ 2 จำนวน 51 คน คัดเลือกโดยองค์กรวิชาชีพต่างๆ จากตัวแทนที่คัดเลือกจากภาคการเมือง ตุลาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ สภานักศึกษา เป็นต้น
เหตุผลสำคัญของการมี สสร. ขัตติยา ชี้ว่าทั้งกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น เป็นการคัดเลือกโดยรัฐสภา การตัดสินใจและความชอบธรรมผูกอยู่กับรัฐสภาเป็นสำคัญ แม้ว่ารัฐสภา จะมีความยึดโยงกับประชาชนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่การจัดทำรัฐธรรมนูญ ความเชื่อมโยงต่อรัฐสภาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมี สสร. ในฐานะกลไกที่เชื่อมโยงประชาชนเข้าสู่การร่างรัฐธรรมนูญทางตรง เป็นกลไกที่มีอำนาจและมีส่วนร่วมตลอดกลไกของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นอกจากนี้ ขัตติยา ยังแสดงความกังวลต่อกระบวนการคัดเลือกแบบ 20 หยิบ 1 ที่อาจทำให้ฝ่ายเสียงข้างมากในรัฐสภาคือ ส.ส. และ ส.ว. มีอิทธิพลในการคัดเลือก และอาจส่งผลต่อการร่างเนื้อหาอย่างน่ากังวล รวมถึงยังแสดงความกังวลต่อเกณฑ์ที่ผู้สมัครต้องมีผู้รับรอง 100 คน อาจนำไปสู่การจัดตั้งทางการเมืองและกีดกันประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมแต่ไม่สามารถหาผู้รับรองได้
สุดท้ายขัตติยาสรุปว่า สสร. ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นผู้กลั่นกรองและให้ความเห็นชอบ ไม่ใช่ผู้ยกร่าง และเน้นย้ำว่าการมี สสร. เป็นความจำเป็นของการเมืองไทย เป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้รับการยอมรับ มีความชอบธรรมและยึดโยงกับประชาชน เพื่อให้เป็นกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับ
ส่วนก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการฯ ระบุว่า ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยให้มีโครงสร้างขององค์กรไว้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะให้มี สสร.และมาจากประชาชน โดยผ่านการเลือกตั้งทางอ้อม เหมือนตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 สสร.ตอนปี 2540 ก็เป็นแบบอย่างที่ดี ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
พรรคเพื่อไทยมีความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า การเลือกตั้ง สสร. โดยทางอ้อมนั้นไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดจึงมีความจำเป็น เพราะถ้าใช้โครงสร้างองค์กรร่างรัฐธรรมนูญตามที่ กมธ.เสียงข้างมากได้เสนอมานั้น อาจจะมีกลุ่มเสียงข้างมากครอบงำในการร่างรัฐธรรมนูญได้
ตนเองอยู่ในกลุ่มที่เคยต่อต้านรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ที่เกิดจากการยึดอำนาจ ตอนนั้นสังคมก็รับรู้ว่ารัฐธรรมนูญที่มาจากทหารร่างโดยคนกลุ่มเดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เนื้อหาหลายอย่างไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยสากล มีการเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนโดยรวม เมื่อมีการใช้ก็มีการต่อต้านต้านจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าเรามีโครงสร้างการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกครอบงำโดยคนสีใดสีหนึ่งโดยเสียงข้างมากแล้ว มันจะเป็นปัญหาในอนาคตได้ ต้องยอมรับว่าสังคมไทยทุกวันนี้ยังมีความขัดแย้งเต็มไปหมด ถ้าใครสามารถกุมเสียงข้างมากแล้วมาครอบงำการร่างรัฐธรรมนูญได้แล้ว สีที่เหลือก็จะไม่ยอมรับ จะทำให้รัฐธรรมนูญที่เราอุตส่าห์ทุ่มเทต่อสู้กันมาเพื่อยกร่างใหม่นั้น จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมโดยรวม
สุดท้ายในการลงมติเสียงข้างมาในรัฐสภาเห็นให้ใช้ร่างเดิมตามมติกมธ. เสียงข้างมาก ด้วยคะแนนเสียง 328:266 เสียง งดออกเสียง 21 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง
กล่าวคือ ที่ประชุมเห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ที่ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน และกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน 35 คน จากการคัดเลือกโดยรัฐสภา
#พรรคเพื่อไทย #การแก้รัฐธรรมนูญ
บทความที่เกี่ยวข้อง