‘นายกฯ แพทองธาร’ แสดงวิสัยทัศน์เน้นย้ำกรอบ 3M ขับเคลื่อนความร่วมมือพหุภาคี สนับสนุนการขนส่งให้รวดเร็วในทุกมิติ พร้อมร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่ เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก เพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในสามภูมิภาคอาเซียน – อ่าวอาหรับ – จีน
วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 15.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) ประเทศมาเลเซีย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ – จีน (ASEAN – GCC – China Summit) ประกอบไปด้วยผู้นำประเทศ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับประเทศจีน โดยนายหลี่ เฉียง (H.E. Mr. Li Qiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้นำจากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมประเทศมาเลเซีย ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์นี้ และมองว่าอาเซียน GCC และจีน ซึ่งรวมกันมีขนาดเศรษฐกิจเกือบ 1 ใน 4 ของ GDP โลก และกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญท่ามกลางภูมิทัศน์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จึงมีโอกาสร่วมกันกำหนดแนวทางใหม่ของการเติบโตที่ครอบคลุม ยั่งยืน และมีความเป็นหุ้นส่วนมากขึ้น
โดยนายกรัฐมนตรีแพทองธารได้เสนอกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “3M” ซึ่งประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยม (Multilateralism) 2.การส่งเสริมความคล่องตัวของทรัพยากร (Mobility) และ 3.การระดมทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mobilisation) ซึ่งจะช่วยหล่อหลอมความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ระหว่างทั้งสามภูมิภาค
สำหรับ กรอบที่ 1 ในการเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยม (Multilateralism) นั้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการค้าเสรีพหุภาคี บนพื้นฐานของกฎระเบียบระหว่างประเทศ ความเปิดกว้าง และความโปร่งใส ซึ่งถือเป็นรากฐานของความไว้วางใจและความร่วมมือที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในบริบทที่โลกกำลังเผชิญกับกระแสกีดกันทางการค้าและการออกมาตรการฝ่ายเดียวที่รุนแรงขึ้น
กรอบที่ 2 ในการส่งเสริมความคล่องตัวของทรัพยากร (Mobility) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การขนส่งสินค้า การลงทุน การบริการ และทุนมนุษย์ ที่ขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นกุญแจสำคัญต่อความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของทั้งสามภูมิภาค โดยไทยพร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือในด้านการค้าดิจิทัล e-commerce ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร ตลอดจนการพัฒนาทุนมนุษย์ผ่านการอบรม การแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการ และความร่วมมือระหว่างประชาชนระหว่างภูมิภาค
สำหรับกรอบที่ 3 ในการระดมทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Mobilisation) นายกรัฐมนตรีเสนอให้เร่งระดมทุน เทคโนโลยี และนวัตกรรมในสาขาที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สามารถเชื่อมโยงกับโครงการ Belt and Road Initiative ของจีน อุตสาหกรรมฮาลาล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เซมิคอนดักเตอร์ ฟินเทค การเงินสีเขียว และพลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุมฯ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของทั้งสามฝ่าย ซึ่งต่างมีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันผ่านกรอบความร่วมมือ “3M” เพื่อการเติบโตที่สร้างสรรค์และยั่งยืน นำไปสู่อนาคตร่วมกันที่มั่นคงของอาเซียน GCC และจีน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ภายหลังการหารือ ที่ประชุมฯ ได้รับรองเอกสาร 1 ฉบับ คือ แถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ และสาธารณรัฐประชาชนจีน (Joint Statement Summit of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN), the Gulf Cooperation Council (GCC) and the People’s Republic of China)
ต่อมาในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย – มาเลเซีย – ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ครั้งที่ 16 ร่วมกับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสอันเหมาะสมในการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสามประเทศต่อ “IMT-GT Vision 2036” ที่มุ่งสร้างอนุภูมิภาค ที่มีการบูรณาการ นวัตกรรม ที่ครอบคลุมอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือที่ดำเนินมากว่า 30 ปี นั้นได้ก่อให้เกิดพัฒนาการที่สำคัญด้านความเชื่อมโยง การบูรณาการทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีต่อการลงนามกรอบความร่วมมือด้านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และการกักกันโรค ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นของทั้งสามประเทศ และแม้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวหลังจากวิกฤตโรคระบาด แต่ภูมิภาคยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอากาศ และการชะลอตัวของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือภายใต้กรอบ IMT-GT ที่ต้องแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวมากยิ่งขึ้น โดยประเทศไทยได้เสนอแนวทางความร่วมมือ 3 ประการ
ประการแรก ความร่วมมือในภาคเกษตร โดยเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งสามประเทศ ได้แก่ ยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งไม่เพียงเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของ 3 ประเทศ แต่ยังเกี่ยวโยงในห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค และระดับโลก ทั้งนี้ขอเสนอให้ประเทศสมาชิกเร่งยกระดับการแปรรูปสินค้าเกษตร ใช้มาตรฐานความยั่งยืนสากลและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ นำไปสู่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ IMT-GT ในฐานะผู้นำด้านเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทของแต่ละประเทศ
ประการที่สอง การส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา (R&D) ประเทศไทยเห็นว่า “นวัตกรรม” จะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในอนาคต ซึ่งต้องเร่งปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศของโลกที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีที่รับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระยะยาวให้กับอนุภูมิภาคได้
ประการที่สาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัลไร้รอยต่อ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และเครือข่ายดิจิทัลนั้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโต ดึงดูดการลงทุน และบูรณาการความร่วมมือในอนุภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการภายใต้ IMT-GT ควรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 2036 ที่เน้นความครอบคลุม ความยืดหยุ่น และความยั่งยืน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า จุดแข็งของ IMT-GT อยู่ที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในเป้าหมายร่วมกัน ของทั้งสามประเทศ ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่เป็นกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเวทีเพื่อ “สันติภาพ ความมั่งคั่ง และความเป็นหุ้นส่วน” และขอเชิญชวนให้ทุกประเทศเดินหน้าร่วมกันเพื่ออนาคตที่เชื่อมโยงบูรณาการระหว่างกัน มีนวัตกรรม ครอบคลุม และมีความยั่งยืนของประชาชนในอนุภูมิภาค IMT-GT สามประเทศ
ทั้งนี้ ในที่ประชุมฯ สามประเทศ ยังได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงาน IMT-GT (Joint Statement of the 16th IMT-GT Summit) ซึ่งยืนยันในความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ IMT-GT พ.ศ. 2579 (IMT-GT Vision 2036) พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจยั่งยืนผ่านแนวทางเศรษฐกิจ สีเขียว สีน้ำเงิน( เศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรทางทะเลฯ) และเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งการขับเคลื่อนการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล และการรับมือความท้าทายระดับโลก
#พรรคเพื่อไทย #แพทองธาร #ประชุมอาเซียน #ASEAN