ทันตแพทย์หญิงศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค หารือในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 กรณีที่รัฐบาลไทยนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปลงนามร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรื่องแร่หายากหรือแรร์เอิร์ธ ว่านายกรัฐมนตรีไทยไปทำเรื่องใหญ่ที่สร้างความตกใจให้คนทั้งประเทศ ด้วยการปิดบังไปลงนาม MOU ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อรัฐธรรมนูญ
ข้อตกลงที่เสี่ยงต่ออนาคตของชาติ กรณี MOU แรร์เอิร์ธ รัฐบาลอาจมองเป็นโอกาสทอง แต่ประชาชนกลับมีคำถามมากมายว่าการเรื่องดังกล่าวข้อมูลเพียงพอไหม การพิจารณาขาดความโปร่งใสเพราะเป็นการนำเข้าสู่ที่ประชุมวาระพิเศษ และไม่ได้มีการแจ้งให้ประชาชนได้ทราบตั้งแต่ต้น ทั้งที่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม นายกฯ ก็ไปลงนามสันติภาพร่วมไทยกัมพูชา ได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างเปิดเผย แต่กลับเลือกชี้แจงเฉพาะเรื่องกัมพูชาอย่างละเอียดเท่านั้น ส่วนประชาชนมารับทราบรายละเอียดการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะมีรายละเอียดจากรัฐบาลไทย
.
มีคำถามต่อมาจากประชาชนว่า MOU ต้องเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนฯ หรือไม่ ต่างจาก MOU43-44 ที่ต้องให้ประชาชนลงประชามติอย่างไร ทั้งที่ แรร์เอิร์ธ เป็นแร่ธาตุสำคัญซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างสูงระดับโลกจึงเข้าข่าย “หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ” ตามมาตรา 173 วรรค 3 หรือไม่ และหนึ่งในบันทึกความเข้าใจ ที่น่ากังวลคือ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการสำรวจ แปรรูป กลั่นแร่ธาตุ ซึ่งตนติดใจตรงเรื่องการสำรวจ ว่าจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้วยหรือไม่
.
การที่รัฐบาลทำข้อตกลงที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ทรัพยากรของประเทศ โดยไม่ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงสุ่มเสี่ยงหรือไม่ หากเกิดปัญหาข้อตกลงผูกพันทางการเมืองในอนาคต จะเป็นภาระทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะดึงไทยเข้าสู่ความขัดแย้งและเสียเปรียบในการต่อรองระดับโลก
.
ดังนั้น จึงขอปรึกษาคำตอบจากสภาแห่งนี้ว่า เมื่อเราใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันแล้ว MOU ฉบับนี้จะต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรก่อนหรือไม่
.
#พรรคเพื่อไทย #แรร์เอิร์ธ
บทความที่เกี่ยวข้อง
“จุลพันธ์” เตือนอนุทิน ปมท่าทีการทูตคลาดเคลื่อน ทำไทยสูญเสียความได้เปรียบ–ถูกกดดันรอบด้าน
อ่านต่อ
บทความ “อนาคตของประเทศไทย: เปลี่ยนความเป็นกลางเป็นโอกาส” โดย ดร.นลินี ทวีสิน อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ กล่าวถึงแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยควรใช้ในยุคโลกหลายขั้ว เพื่อเปลี่ยน “ความเป็นกลางทางการเมือง” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดพันธมิตรทั่วโลก
อ่านต่อ