‘อดีตรองนายกฯ พิชัย’ ดีใจรัฐบาลสานต่อแนวคิด-หลักการแก้หนี้ ที่พรรคเพื่อไทยวางรากไว้ ชี้แก้หนี้เสีย-ใกล้เสียไม่ใช่แค่จัดการตัวเลข แต่เป็นการดึงพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับมา
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า การแก้หนี้ คือ การคืนโอกาสให้ประชาชนเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ผมติดตามข่าวสารและเห็นว่า แนวนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะมาตรการ “การซื้อหนี้เสียรายย่อย” ที่มุ่งช่วยลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย กำลังถูกนำมาขับเคลื่อนอย่างจริงจัง
ผมดีใจที่แนวคิดและหลักการที่ “ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย” ได้วางรากฐานการศึกษาและพัฒนาไว้ตั้งแต่ต้น ได้ถูกนำมาสานต่อ เพราะนี่คือแนวทางที่มองเห็น “ประชาชน” อยู่เบื้องหลังตัวเลขหนี้เสมอ
แนวทางนี้ไม่ได้เป็นเพียงการช่วยลูกหนี้รายย่อย แต่ยังช่วย “ลดความเปราะบางของระบบการเงิน” ในภาพรวม เพราะหนี้เสียที่กระจายอยู่ในหลายสถาบัน หากถูกบริหารรวมผ่านกลไกกลาง จะช่วยให้ระบบธนาคารกลับมามีสภาพคล่อง สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น
หลักคิด : การจัดลำดับความสำคัญในการปลดล็อกพลังเศรษฐกิจ
เมื่อครั้งที่เราศึกษาปัญหา เราพบว่า หนี้ครัวเรือนกว่า 13 ล้านล้านบาท ได้สร้างภาระหนักอึ้งให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหนี้เสียหรือใกล้เสีย (NPL/SM) กว่า 5 ล้านคน
การปล่อยให้คนกลุ่มนี้หลุดออกจากระบบเศรษฐกิจต่อไป ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของประเทศ การแก้หนี้จึงไม่ใช่แค่การจัดการตัวเลข แต่คือการ “ดึงพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับคืนมา”
สิ่งที่เราทำจึงไม่ใช่การ “ยกหนี้” แต่คือการ “สกัด” ไม่ให้หนี้เสียลุกลาม และ “คืนโอกาส” ให้คนที่พร้อมจะลุกขึ้นสู้
โมเดลเพื่อไทย : ลงทุนน้อย (ปลดพันธนาการ) ได้มาก
หลักคิดเชิงเศรษฐกิจของเราคือการ “จัดลำดับความสำคัญ” และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
1. สกัดหนี้ใหม่ (กลุ่ม SM) : ด้วยการใช้มาตรการ “ปรับโครงสร้างหนี้” และให้รัฐช่วยรับภาระดอกเบี้ยชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้หนี้ไหลลงเป็นหนี้เสียเพิ่ม
2. ซื้อหนี้เก่าเพื่อคืนโอกาส (กลุ่ม NPLs) : เราพบว่ามีลูกหนี้รายย่อยที่เดือดร้อนกว่า 3 ล้านคน ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท การใช้กลไกของรัฐ เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เข้าไปซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน โดยใช้เงินจากกองทุนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) โดยไม่เพิ่มภาระงบประมาณแผ่นดิน ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
หลักคิดสำคัญคือ “รัฐเข้าไปช่วยปลดล็อก ไม่ใช่แบกรับ” เพราะเงินที่ใช้มาจากกองทุนหมุนเวียนในระบบการเงิน ไม่ได้เพิ่มภาระการคลัง แต่กลับสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจสูงกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนหลายเท่า ใช้งบประมาณเพียงน้อยนิด แต่สามารถปลดล็อกศักยภาพของคนหลายล้านคนให้กลับมามีกำลังซื้อและลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง เมื่อพวกเขากลับมามีรายได้ พวกเขาก็จะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินต่อ
ความยั่งยืน : เศรษฐกิจที่เติบโตคือยารักษาหนี้ที่ดีที่สุด
ท้ายที่สุด มาตรการเหล่านี้เป็นเพียง “กลไกประคอง” ในระยะสั้น เพื่อรอให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวส่งผล
ดังที่ผมเคยกล่าวไว้ “เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง คือยารักษาหนี้ที่ดีที่สุด”
หากเราสามารถสร้าง Trust & Confidence ดึงดูดการลงทุน และทำให้ GDP เติบโตในระดับ 5% ขึ้นไปอย่างยั่งยืน การแก้หนี้ครัวเรือนจะค่อย ๆ คลี่คลายได้ด้วยกลไกของรายได้ที่เพิ่มขึ้นเอง
ในระยะต่อไป การดำเนินนโยบายลักษณะนี้ควรเชื่อมโยงกับมาตรการสร้างรายได้ของภาคเกษตรและแรงงาน เช่น การเพิ่มผลิตภาพ การปรับทักษะ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อให้การแก้หนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงจรเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เพียงการเยียวยาชั่วคราว
เป้าหมายของการแก้หนี้ ไม่ใช่เพียงการล้างตัวเลขในระบบการเงิน แต่คือการ “คืนศักดิ์ศรี และคืนโอกาส” ให้ประชาชนได้กลับมายืนหยัดอีกครั้ง เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริงครับ
#พรรคเพื่อไทย #พิชัยชุณหวชิร #แก้หนี้ #AMC
บทความที่เกี่ยวข้อง
‘ประเสริฐ’ เตือน ‘บางพรรคการเมือง’ หยุดพฤติกรรม ‘ยี้’ ส่งคนวนเวียนดอดจีบ ‘สส.เพื่อไทย’ เตือนให้เลิกทำ-หยุดทำลายประชาธิปไตย ก่อนโดนดัดหลัง ‘ล่อซื้อ’ แฉเสนอออปชั่นแลกผลประโยชน์หลายกิโล ให้เลือกแบบซุ่มเป็น ‘งูเห่า’ หรือเปิดตัวย้ายพรรค-ลงเลือกตั้ง ชี้ ‘สส.’ หลายคนเมิน หลังพวกเปิดตัวแล้วโดนเบี้ยวอื้อ ส่อช้ำหนัก-จ่ายไม่ครบ-จ่อจบไม่สวย
อ่านต่อ