พรรคเพื่อไทยจัดเวที ‘MOONSHOT FORUM ครั้งที่ 1’ ชูแนวคิดยกเครื่องบัตรทองด้วย AI สร้างระบบสุขภาพ “รักษาดี อยู่ดี ตายดี”

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 พรรคเพื่อไทยจัดเวทีเสวนา MOONSHOT FORUM ครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “ยกเครื่อง 30 บาทด้วย AI : รักษาดี อยู่ดี ตายดี” โดยมีผู้ร่วมเสวนา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หนึ่งในผู้ริเริ่มนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค, นพ.ธีรพัฒน์ ตันพิริยะกุล (หมอโจ้) แพทย์เฉพาะทางออร์โธปิดิกส์และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI, นายสหัสวรรษ วีระมงคลกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกำกับดูแลการใช้ AI และ รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล จากศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

.

เวทีเสวนาครั้งนี้เปิดมุมมองใหม่ต่อการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องคุณภาพและความยั่งยืน โดยผู้ร่วมเสวนาเสนอแนวทางแบบองค์รวม ผสานเทคโนโลยี AI กฎหมายข้อมูลสุขภาพ และการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย เพื่อให้ระบบ “รักษาดี อยู่ดี ตายดี” เกิดขึ้นจริง

.

🎯ยกเครื่อง “30 บาทรักษาทุกโรค” ด้วย AI – ปรับระบบงบประมาณ-การรักษา สู่สุขภาพยุคใหม่ “รักษาดี อยู่ดี ตายดี” อย่างเท่าเทียม

.

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กล่าวเปิดเวทีเสวนา “ยกเครื่อง 30 บาทด้วย AI : รักษาดี อยู่ดี ตายดี” โดยย้อนถึงจุดเริ่มต้นเมื่อ 24 ปีก่อนของโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งครั้งนั้นไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จ หลายฝ่ายมองว่าจะล้มเหลว แต่กลับกลายเป็นนโยบายที่องค์การทั่วโลกยกย่องให้เป็น “ต้นแบบการปฏิรูประบบสาธารณสุขเพื่อความเท่าเทียม” ของประชาชน

.

อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่า “วันนี้” โครงการต้องเผชิญความท้าทายใหม่ ทั้งระบบงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับสภาพจริง การบริหารจัดการที่เป็นระบบเปิดแต่การเงินกลับเป็นระบบปิด การเบิกจ่ายล่าช้า และข้อมูลสุขภาพที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งทำให้การวางแผนล่วงหน้าขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการของงบประมาณต้องคาดการณ์ล่วงหน้าถึง 2 ปี ขณะที่ข้อมูลที่ใช้ยังเป็นข้อมูลเก่าที่ไม่สะท้อนต้นทุนและภาระโรคในปัจจุบัน

.

นพ.สุรพงษ์จึงเสนอแนวคิด “ยกเครื่อง 30 บาทด้วย AI” เพื่อใช้เทคโนโลยีมาช่วยวิเคราะห์ คาดการณ์ และบริหารจัดการงบประมาณอย่างแม่นยำ โดยใช้ AI Prediction Budgeting หรือระบบคาดการณ์งบประมาณล่วงหน้า 24 เดือน ช่วยให้สำนักงานงบประมาณ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขมีข้อมูลตรงกัน เห็นภาพรวมเดียวกัน สามารถวางแผนเชิงรุกแทนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

.

นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ยังกล่าวถึง “สังคมผู้สูงอายุ” ที่จะทำให้ภาระโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น เช่น โรคไต หัวใจ สมอง และมะเร็ง ซึ่งต้องใช้งบประมาณดูแลสูง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของชีวิต ดังนั้นแนวคิด “จ่ายตามปริมาณ” ที่ใช้มานานจึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป จำเป็นต้องเปลี่ยนสู่ Value-Based Health Care (VBHC) หรือ “การจ่ายตามคุณค่า” ที่มุ่งให้ผลลัพธ์สุขภาพดีที่สุดในงบประมาณที่คุ้มค่าที่สุด

.

โดยแนวทาง VBHC จะเน้นผลลัพธ์มากกว่าจำนวนครั้ง เช่น ผู้ป่วยไตเรื้อรังสามารถฟอกไตที่บ้าน มีครอบครัวช่วยดูแล หรือผู้ป่วยมะเร็งได้รับการดูแลแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่รักษาแต่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งอาจดูเหมือนเพิ่มรายจ่ายในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้

.

นพ.สุรพงษ์ ยกกรณีศึกษาจากประเทศสวีเดนที่เริ่มใช้ฐานข้อมูล National Quality Registries กว่า 100 รายการ ตั้งแต่ปี 2006 เพื่อวัดผลและจ่ายตามผลลัพธ์สุขภาพ พบว่าสามารถลดต้นทุนต่อหัวได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสหภาพยุโรปถึง 15–20% ขณะคุณภาพการรักษาและชีวิตผู้ป่วยดีขึ้นอย่างชัดเจน นำไปสู่ระบบ Learning Health System ที่ผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ร่วมกันตัดสินใจรักษา

.

นอกจากนี้ยังมีกรณีของเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีที่นำระบบจ่ายตามผลลัพธ์มาใช้กับโรคหัวใจและเบาหวาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย การนอนโรงพยาบาล และเพิ่มความสุขของผู้ป่วยได้จริง

.

นพ.สุรพงษ์สรุปว่า “โลกยุคใหม่ของ 30 บาทรักษาทุกโรค” ต้องเปลี่ยนจาก ระบบจ่ายเพื่อรักษา ไปสู่ ระบบจ่ายเพื่อผลลัพธ์สุขภาพที่ดีขึ้น ใช้ AI เป็นหัวใจของการคาดการณ์งบประมาณ การตรวจสอบ และการบริหารระบบสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ “รักษาดี อยู่ดี ตายดี” อย่างมีศักดิ์ศรี เท่าเทียม และยั่งยืน

.

🎯วางแผนนโยบายด้วยข้อมูล ปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วย AI

.

นพ.ธีรพัฒน์ ตันพิริยะกุล หรือหมอโจ้ ฉายภาพให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ว่า ในปัจจุบันมนุษย์สามารถใช้เครื่องมือนี้ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างละเอียด และแม่นยำ 

.

โดยเฉพาะในด้านการสาธารณสุข AI สามารถช่วยทำนายค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพทั้งประเทศ รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงนโยบายได้อย่างแม่นยำ หากเราระบบฐานข้อมูลสุขสภาพระดับชาติที่โยงเชื่อมกันทั้งประเทศ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วในประเทศเอสโตเนีย โดยมีการทำระบบ X-Road ที่ทำให้ข้อมูลจากทุกโรงพยาบาลวิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางเดียวกัน 

.

นพ.ธีรพัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญสำหรับประเทศไทยในเวลานี้ ไม่ใช่การขาดความพร้อมทางเทคโนโลยี แต่อุปสรรคสำคัญอยู่ที่ การจัดการข้อมูล การวางโครงสร้างเชื่อมโยงระบบข้อมูล และกฎหมาย ที่ยังไม่เอื้อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบทั่วประเทศ

.

นพ.ธีรพัฒน์ ชี้ว่า หากประเทศไทยมี โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับจัดการ จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูล (Data Infrastructure) ที่ดี ตั้งแต่โรงพยาบาลขนาดเล็ก กลาง จนถึงขนาดใหญ่ ทำเป็น One-Road  ที่เป็นถนนให้ข้อมูลจากทุกสถานบริการส่งตรงเข้ามาที่ฐานข้อมูลกลางได้ จะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งในด้านปฏิบัติการ การเงิน และการวางนโยบาย เช่น วิเคราะห์จำนวนผู้ป่วยในแต่ละแผนก, การตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และสต็อกยา, ลดปัญหาการจัดซื้อซ้ำซ้อน, ลดปัญหาการตรวจซ้ำ รวมทั้งสามารถ สร้างฐานข้อมูลโรคระดับชาติ (National Registry) ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขได้จำนวนมากจากการลดขั้นตอนซ้ำซ้อนต่างๆ รวมทั้งยังสามารถทำให้รัฐมองเห็นต้นทุนที่แท้จริงในการให้บริการ

.

นพ.ธีรพัฒน์ ย้ำว่า หากมีโครงสร้างข้อมูลกลางที่ดี ผู้บริหารสามารถถาม AI ได้ทันที เช่น ปีหน้าควรปรับอัตราค่าใช้จ่ายอย่างไร ควรโฟกัสโรคกลุ่มไหน หรือวางแผนงบประมาณสาธารณสุขอย่างไร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบ 

🎯ช่องโหว่ PDPA ด้านข้อมูลสุขภาพ เสนอออก พ.ร.บ.ระบบสุขภาพดิจิทัล สร้างความเชื่อมั่นใช้ AI ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค

.

นายสหัสวรรษ วีระมงคลกุล ระบุว่าข้อมูลสุขภาพของประเทศยังคงกระจัดกระจาย แม้แอปฯ “หมอพร้อม” จะเชื่อมกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้กว่า 93.8% แต่โรงพยาบาลนอกสังกัดเชื่อมได้เพียง 7.1% จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสุขภาพ เพื่อให้รัฐสามารถรวบรวมและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบแต่เราก็จะติดปัญหาเรื่องกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

.

นายสหัสวรรษ ชี้ว่า กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งลอกแบบจากยุโรป ยังมี “ช่องว่าง” เมื่อนำมาใช้กับข้อมูลสุขภาพและ AI โดยเฉพาะในด้านการบังคับใช้และความเข้าใจของบุคลากร ตัวอย่างเช่นกรณีข้อมูลผู้ป่วยหลุดขายในต่างประเทศ หรือกรณีการเก็บข้อมูลม่านตาประชาชนเพื่อแลกโทเคนดิจิทัล ซึ่งไม่สามารถเอาผิดตาม PDPA ได้

.

นายสหัสวรรษเสนอให้มี ร่าง พ.ร.บ.ระบบสุขภาพดิจิทัล โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงดีอีร่วมกันจัดการโครงสร้างพื้นฐาน และจัดตั้ง สำนักงานสุขภาพดิจิทัลแห่งชาติ เป็นหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้ข้อมูลสุขภาพมีมาตรฐาน โปร่งใส และปลอดภัย พร้อมให้ประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลของตน

.

“ความท้าทายของ “30 บาทรักษาทุกโรคด้วย AI” ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “วิกฤตความไว้วางใจ” และช่องว่างทางกฎหมาย หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้สำเร็จ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อมั่นในการใช้ข้อมูลสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง” นายสหัสวรรษ กล่าว

.

.

🎯พัฒนา Palliative Care ทั่วประเทศ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้าย ลดภาระค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพ

.

รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เริ่มต้นที่การนิยามความหมายของ การตายดีของคนส่วนใหญ่ว่า หมายถึง การตายในสถานที่ที่เลือกได้ และตายระหว่างอยู่กลับบุคคลที่พวกเขารัก แทนที่จะเป็นการตายที่รายล้อมด้วยทีมแพทย์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์

ส่วนแนวคิด Palliative Care หรือการดูแลแบบประคับประคอง  ไม่ได้หมายถึงการดูแลผู้ป่วยเฉพาะช่วงใกล้เสียชีวิตเท่านั้น แต่เป็นการดูแลสุขภาพเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และเพิ่มคุณภาพชีวิต ควบคู่กับการรักษาในผู้ป่วยโรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง เช่น มะเร็งระยะท้าย หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยทีมแพทย์จะช่วยวางแผนการรักษาล่วงหน้า (Advance Care Planning) ในระยะเวลาตั้งแต่ 6 – 12 เดือน และสนับสนุนทั้งผู้ป่วย และครอบครัวให้พร้อมรับมือกับความตายที่อยู่ข้างหน้า

.

Palliative Care ไม่ใช่การเร่งให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น แต่มีแนวคิดในการที่ทำให้ผู้ป่วยยอมรับได้ว่าความตายเป็นมิติหนึ่งของชีวิต โดยที่พยายามเร่ง หรือยื้อความตายออกไป แต่เรามีหหน้าที่ในการค้นหาความไม่สุขสบายของเขา ทั้งทางด้านร่างการ จิตใจ หรือจิตวิญญาณ และช่วยประคับประคอง 

.

จากการสำรวจ 14 โรงพยาบาลทั่วประเทศ พบว่า 18.7% ของผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ที่ควรได้รับการดูแลแบบ Palliative Care แต่มีเพียง 17% เท่านั้นที่ได้รับบริการจริง และแต่ละศูนย์สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงราว 20% ของความต้องการทั้งหมด

.

งานวิจัยในหลายประเทศยืนยันว่า การให้ Palliative Care ตั้งแต่ระยะต้นสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย และช่วยลดค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพได้จริง โดยข้อมูลจาก สปสช. ระบุว่า ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 40,000 บาท ขณะที่การเสียชีวิตที่บ้านมีค่าใช้จ่ายเพียง 20,000 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 15,000 บาท เป็นค่าดูแลแบบประคับประคอง

.

รศ.พญ.ศรีเวียง เสนอให้มีการผลักดันการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในสองระดับ ได้แก่ Specialized Palliative Care สำหรับเคสซับซ้อน และ Primary Palliative Care สำหรับโรงพยาบาลทั่วไปหรือคลินิกที่สามารถให้บริการเบื้องต้นได้ พร้อมสนับสนุนการดูแลที่บ้าน (Home-based Care) โดยจัดให้มีผู้ดูแล (Caregiver) เข้าช่วยเหลือในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบในบ้านของตนเอง

.

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือ บุคลากรขาดแคลนอย่างรุนแรง โดยมีแพทย์เฉพาะทางด้าน Palliative Care เพียง “หลักสิบคน” ทั่วประเทศ และส่วนใหญ่ทำงานแบบพาร์ทไทม์ “หากไม่เร่งจัดตั้งตำแหน่งงานประจำและสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรเข้ามาในสาขานี้ ระบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายของไทยจะยังไม่สามารถขยายให้ทั่วถึงได้” รศ.พญ.ศรีเวียงกล่าวทิ้งท้าย

.

#พรรคเพื่อไทย

#MOONSHOT_FORUM

#เวทีนโยบายสาธารณะ

#30บาทรักษาทุกโรค

#ยกเครื่องเพื่อไทย