อยู่ดี ตายดี ด้วย 30 บาทโดย รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล ศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นิยามของการตายที่ดีเป็นอย่างไร เกี่ยวอะไรกับรัฐที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมและเกื้อหนุนด้วยภูมิปัญญาและทรัพยากรรัฐแบบที่ประชาชนผู้เสียภาษีอยากเห็น
ประเด็นนี้ แพทย์หญิงศรีเวียง ผู้ทำงานเกี่ยวกับการประคับประคองผู้ป่วยมายาวนาน จะค่อยๆ อธิบายให้เราทราบ
-1-
การตายดี คือ ตายแบบไม่เจ็บปวด หรือสามารถควบคุมสถานการณ์การตายเองได้ แต่ส่วนใหญ่คนมักตอบว่าตายในสถานที่ที่เราต้องการ เช่น ตายที่บ้าน ตายท่ามกลางคนที่รักรายล้อม
Palliative Care หรือ การดูแลประคับประคองมีมาแล้วประมาณ 50 ปี เริ่มแรกที่สหราชอาณาจักร ส่วนในไทยเริ่มมา 10 กว่าปีที่เป็นระบบ การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมาน ด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่รักษายาก ซึ่ง Palliative Care จะดูแลผู้ป่วยประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี
เป้าหมายดูแลผู้ป่วยให้สุขสบายที่สุด สามารถเผชิญความเจ็บป่วย และความตายที่คอยอยู่ข้างหน้าให้มีคุณภาพชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ประกอบไปด้วย ความสุขสบายทางกาย ความเจ็บปวดทางร่างกายต้องได้รับการดูแล และดูแลแบบองค์รวมในทุกมิติ ดูแลจิตใจ จิตวิญญาณ จิตสังคม รวมไปถึงการดูแลผู้ดูแลด้วย
-2-
เมื่อระยะสุดท้ายของชีวิตมาถึง เราจะไม่เร่งและไม่ยื้อ คนไข้ที่มีเวลาเหลือน้อยหลายคนเนื่องจากป่วยเป็นโรคที่รักษาลำบากมาบอกว่า “คุณหมอฉันไม่สุขสบาย ไม่อยากเผชิญเวลาตรงนี้ที่เหลืออยู่ ช่วยให้ฉันไปเร็วขึ้นได้ไหม ฉันไม่อยากทรมาน”
เมื่อความตายมาถึง การยื้อความตายโดยใช้เครื่องพยุงชีพต่างๆ อาจจะยื้อความตายเป็นวัน หรือไม่กี่สัปดาห์ แต่ความทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องพยุงชีพมันแสนสาหัส ไม่มีคนรักอยู่ใกล้ๆ มีแต่หมอพยาบาล
-3-
เราช่วยปลดเปลื้องอาการไม่สุขสบายทางด้านร่างกาย ให้เขาอยู่อย่างสุขสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนถึงเวลาสุดท้าย แน่นอนว่าผู้ป่วยในระยะสุดท้ายมีการรักษามาอย่างยาวนาน เขาต้องประสานการดูแลหลายๆ อย่าง
ทีม Palliative Care ต้องช่วยประสานดูแลให้ราบรื่น ต้องมีทีมเป็นหมอ รักษา ทำนายโรค วางแผน มีพยาบาล นักจิตวิทยา ผู้นำจิตวิญญาณ ช่วยกัน
-4-
จากการศึกษาของ International Health Policy Program (IHPP) พบว่าผู้ป่วยต้องใช้เงินในระบบสุขภาพ 1 ปีสุดท้ายก่อนจะตาย ซึ่งครอบครัวได้รับผลกระทบเยอะ มีความลำบากทางเศรษฐกิจ
ประกอบกับผู้สูงอายุเยอะขึ้น ป่วยเรื้อรังเยอะขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รักษาไม่ได้ ความตายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยีสามารถรักษาได้ หมอจะใช้เทคโนโลยีเต็มที่ แต่คนไข้กลับทุกข์ทรมาน
-5-
ระบบส่วนหนึ่งต้องให้ผู้ป่วยอยู่ที่บ้านในช่วงสุดท้ายได้ แต่วัฒนธรรมไทย การพูดถึงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิตกับผู้ป่วยนั้นไม่มีใครอยากพูดถึง และหมอก็ไม่ได้รับการเทรนด์เรื่องการสื่อสารกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทำให้ขาดการวางแผนล่วงหน้า
-6-
ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย พอถึงจุดหนึ่งจะหายใจไม่ไหว จะให้หมอใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือให้หมอดูแลอย่างสุขสบายให้พออยู่ได้ และยอมรับการตายตามธรรมชาติ
เมื่อเขาไม่รับรู้สถานการณ์จึงไม่มีการวางแผนล่วงหน้า พอรักษาผ่านเครื่องพยุงชีพ ใส่ท่อเข้าห้องไอซียู พอจะเอาท่อออกครอบครัวก็รู้สึกผิด ต้องเสียชีวิตภายใต้เครื่องพยุงชีพ
ปัจจุบันห้องไอซียูมีผู้ป่วยระยะสุดท้ายเกินกว่าครึ่ง ทำให้เตียงไอซียูมีไม่เพียงพอกับผู้ป่วยที่มีโอการอดชีวิตกว่า
ปัจจุบันบ้านเรามี Health Literacy แต่ขาดการเรียนรู้ Death Literacy ความตายเกี่ยวข้องอะไรบ้าง คนรอบตัว ระบบการดูแล วัฒนธรรมการตาย
เช่น มีกรณีคุณยายวัย 80 กว่าปี เป็นโรคอัลไซเมอร์ นอนติดเตียง ไม่มีการรับรู้แต่พอสื่อสารได้คำสองคำ แต่เช้ามาวันหนึ่งผู้ดูแลพบว่าคุณยายหายใจไม่ค่อยได้ จึงส่งคุณยายเข้าไปห้องไอซียู หมอที่ห้องไอซียูประเมินว่าอาจจะเป็นสโตรก ต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ ทำ CT Scan แล้วดูว่าจะรักษายังไง แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าอีกไม่กี่เดือนคุณยายก็เสียชีวิตแล้ว แต่ไม่มีการพูดคุยภายในครอบครัวว่าจะไปต่ออย่างไร
-7-
มีความเชื่อที่ผิดว่าผู้ดูแลประคับประคองที่เข้ามาช่วยในระยะเวลาใกล้ตาย จะทำให้ตายเร็วขึ้น ซึ่งไม่ใช่
ความจริงการประคับประคองสามารถทำได้แต่แรกเริ่ม หากวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน หมอส่วนใหญ่วินิจฉัยว่าอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ทีมดูแลประคับประคองจะเข้าไปดูแลเสริม จัดการคุณภาพชีวิตให้ดี ดูแลอาการเจ็บป่วย ให้เขามีสมรรถนะที่ดีเท่าที่เป็นไปได้
เมื่อถึงจุดที่รักษาไม่ได้แล้ว ทีมผู้ดูแลจะเข้าไปดูแลต่อเนื่องให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ให้มีโอกาสใช้ชีวิตที่บ้านได้นานที่สุด อยู่กับครอบครัวที่เขารัก
-8-
จากรายงานทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ ผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4 แบ่งเป็นกลุ่มหนึ่งมีทีมผู้ดูแลประคับประคอง อีกกลุ่มดูแลแบบปกติ
ปรากฏว่าคนไข้ที่มีผู้ดูแลประคับประคองมีคุณภาพชีวิตดีกว่า มีอาการวิตกซึมเศร้าน้อยกว่า ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดน้อยกว่า สามารถเพิ่มระยะเวลาการมีชีวิตได้นานกว่า
-9-
ศูนย์การุณรักษ์ได้ทำการศึกษา จากการสำรวจ 14 โรงพยาบาลทั่วประเทศ พบว่า 18.7% ของผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ที่ควรได้รับการดูแลแบบประคับประคอง มีเพียง 17% เท่านั้นที่ได้รับการประคับประคอง
ทั้งนี้ในบทเรียนของคณะแพทยศาสตร์ มีเรื่องการดูแลแบบประคับประคองน้อยมาก หรือบางที่ไม่มีเรียน
อีกทั้งจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งในกลุ่มที่มีผู้ดูแลประคับประคอง ถูกใส่ท่อน้อยกว่า เข้าไอซียูน้อยกว่านั้นสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลด้วย
ส่วนการศึกษาในต่างประเทศพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง สัปดาห์สุดท้ายก่อนคนไข้จะเสียชีวิตค่ารักษาพุ่งกระฉูด เทียบกับกลุ่มที่มีผู้ดูแลประคับประคอง จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายถูกกว่ากันเยอะ และยิ่งมีผู้ดูแลประคับประคองตั้งแต่ต้นค่าใช้จ่ายจะลดลงเร็วมากขึ้น
-10-
ต้องยอมรับว่าคนบ้านเราถ้าจะตาย อยากตายที่บ้าน แต่ถ้าถามคนกรุงเทพฯ ตายที่บ้านได้ไหม ไม่แน่ใจ ตายที่บ้านอาจจะไม่สุขสบาย ต้องมีทีมดูแลแบบประคับประคองเข้าไปช่วยจัดการ
จากการศึกษาของ TDRI พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งภายใต้ UC 1 เดือนก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่าย 44,974 บาท ขณะที่การเสียชีวิตที่บ้านมีค่าใช้จ่ายเพียง 26,821 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 15,000 บาท เป็นค่าดูแลแบบประคับประคอง
-11-
การดูแลแบบประคับประคอง จะต้องทำงานเป็นทีม ในช่วงแรกต้องทำกับเจ้าของไข้ สมมติโรคมะเร็งต้องมีเคมีบำบัด การรักษาใช้ยาพุ่งเป้า ไปตามทิศทางของหมอที่รักษา ทีมดูแลแบบประคับประคองเข้าไปเป็นทีมเสริม จัดการเรื่องอาการข้างเคียง เช่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ทำให้เขาสบายที่สุด ทำให้สมรรถนะของผู้ป่วยคงอยู่ดีที่สุด เพื่อให้คงกับการรักษาได้
ที่สำคัญได้ช่วยผู้ป่วยและครอบครัววางเป้าหมายการดูแล ผู้ป่วยควรมีส่วนร่วมว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง ทีมประคับประคองจะช่วยประเมิน หรือ Net effect ให้ข้อมูลกับคนไข้ตามจริง เพื่อช่วยให้คนไข้ไม่เข้าสู่การรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งการยับยั้งถอนเครื่องพยุงชีพ ช่วยวางแผนสถานที่ระยะท้าย หรือต้องการเสียชีวิตที่ไหน เราก็สามารถดูแลตามความต้องการของคนไข้ได้
-12-
Palliative Care เป็นทางเลือกของผู้ป่วย ครอบครัว และหมอ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยการทำงานของหมอเจ้าของไข้ โดยทีมดูแลแบบประคับประคองเข้าไปประสานบริการกับคนไข้ต่างๆ
-13-
ในไทย Palliative Care เข้าสู่ระบบสาธารณสุข จึงมีอยู่ในทุกโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละที่คุณภาพอาจจะไม่เท่าเทียมกัน การบริการใน กทม.ระบบการดูแลประคับประคองยังเป็นปัญหาซับซ้อน ผู้รับผิดชอบงานในโรงพยาบาลใหญ่ส่วนใหญ่เป็นแพทย์พาร์ทไทม์
ส่วนโรงพยาบาลชุมชนจะเป็นแพทย์ปฐมภูมิ ซึ่งมีการฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก ข้อสำคัญคือการดูแลแบบประคับประคองใช้แรงงานเยอะมาก
ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานการดูแลแบบประคับประคองในระบบสุขภาพ จะทำให้คนทำงานขาดกำลังใจ
-14-
ข้อดีต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีระบบสุขภาพที่แข็งแรง เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก เพียงแต่เราเติมองค์ความรู้ Palliative Care ทำให้การจัดบริการได้ทั่วประเทศ มีการทำระบบ Mapping ในเอเชียแปซิฟิก ว่ามีระบบการดูแลแบบประคับประคองในประเทศใดบ้าง รวมถึงการบูรณาการในระบบอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประเทศไทยถ้าบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ ก็เทียบได้กับ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
สิทธิประโยชน์ภายใต้การดูแลระบบ 30 บาท โดย 1.มีการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยประคับประคองและการเบิกค่ายามอร์ฟีน 2.ได้รับการดูแลชุดสิทธิประโยชน์ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน 3.การดูแลผู้ป่วยที่กำลังเสียชีวิตที่บ้าน
-15-
Palliative Care จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต ช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะกับสภาวะกับของคนๆนั้น ได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่บ้าน ได้อยู่กับคนที่รัก และถ้าต้องการเสียชีวิตที่บ้าน ทีมดูแลฯ จะสามารถจัดการได้
Palliative Care ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ไม่ใช่แค่งบประมาณประเทศ แต่เป็นของครอบครัวด้วย ถึงแม้ว่ามี Palliative Care ในระบบสุขภาพ แต่ยังมีช่องว่างอีกเยอะต้องเติมเต็มให้ระบบมีความแข็งแรงมากกว่านี้
หมายเหตุ – เรียบเรียงจาก MOONSHOT FORUM ครั้งที่ 1 หัวข้อ “ยกเครื่อง 30 บาทด้วย AI : รักษาดี อยู่ดี ตายดี” วันที่ 10 พ.ย. 2568














