ในการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 มาตรา 256/28 ในชั้นพิจารณาวาระที่ 2 มี กมธ เสียงข้างน้อย(ฝั่ง สว.) ขอสงวนคำแปรญัตติ โดยขอให้แก้ไขว่า จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงของ สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามด้วย

11 ธ.ค. 2568 ในการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ซึ่งเดินทางมาถึงมาตรา 256/28 ที่เป็นการบัญญัติถึงกระบวนการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจากร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก บัญญัติให้ ใช้เสียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ แต่ในชั้นพิจารณาวาระที่ 2 มี กมธ เสียงข้างน้อย(ฝั่ง สว.) ขอสงวนคำแปรญัตติ โดยขอให้แก้ไขว่า จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงของ สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามด้วย โดยมีการอภิปรายให้เหตุผลว่า เป็นไปเพื่อสร้างการถ่วงดุล และป้องกันไม่ให้เกิดเผด็จการรัฐสภา และเป็นเสาหลักในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ 

ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก อภิปรายชี้แจงต่อข้อความกังวลของสมาชิกวุฒิสภา ที่เห็นว่าการตัดอำนาจ ส.ว. ในการให้การรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามนั้น จะเป็นการกระทำที่ละเมิดมติของประชาชน 16 ล้านเสียง ที่ให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2560 

ก่อแก้ว กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ได้มาจากการทำรัฐประหาร และตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมารณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว แต่ในเวลานั้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีการจับกุมผู้ที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ ไปดำเนินคดี 

การรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นจึงถือว่าเป็นการรณรงค์เพียงฝ่ายเดียว เพราะเป็นการปิดปาก และมัดมือชก พร้อมกับหลอกลวงว่าให้รับไปก่อนแล้วค่อยไปแก้ทีหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้โดยง่าย

“มีการพูดว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่เอาไว้โกงคนอื่น ในปี 2562 พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 

ส่วนการเลือกตั้งในปี 2566 พรรคก้าวไกลชนะมาเป็นอันดับหนึ่งก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะต้องใช้เสียง สว. ด้วย นี่จึงถือการโกงอำนาจกันชัดๆ”

ก่อแก้ว ยังระบุด้วยว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลไกที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถที่จะทำงานเพื่อตอบสนองประชาชนได้อย่างเต็มที่

เขาย้ำไปถึงการพิจารณารายมาตราซึ่งผ่านมาแล้ว คือการพิจารณาในเรื่องขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่สุดแล้วรัฐสภามีมติเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นมา 35 คน โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1  จากสมาชิกรัฐสภา ซึ่งนั่นก็ถือว่าได้มาจากเสียงของ สส. และ สว. แล้ว และในท้ายที่สุดเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้น ก็จะมีการนำร่างรัฐธรรมนูญไปให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง

“เราจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมาทะเลาะกันว่าจะต้องใช้เสียงคุณ หรือใช้เสียงผม เราเป็นสมาชิกรัฐสภาเหมือนกัน เราควรมีความรับผิดชอบต่อประเทศนี้ร่วมกัน และหากพูดอย่างเป็นธรรมเราก็ควรมีเสียงเท่ากัน ไม่ควรสร้างเงื่อนไขอะไรขึ้นมาเป็นอุปสรรคให้กับการแก้ปัญหาครั้งนี้ เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ ปัญหาที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสร้างขึ้นอาจทำให้ประเทศนี้ล่มจม”

ก่อแก้ว ย้ำอีกครั้งว่า ในมาตรา 256 / 28 ตามมติของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้กำหนดให้การเห็นชอบรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับเสียงเกินครึ่งหนึ่งจากสมาชิกรัฐสภาก็เพียงพอแล้ว และไม่มีทางที่จะเกิดสภาวะของการที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งสามารถกินรวบได้ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ได้เสียเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา มากที่สุดก็ได้จำนวนที่นั่งสส. ไม่เกิน 150 คน

แต่ประเด็นสำคัญที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การเป็นเผด็จการวุฒิสภา เพราะหากให้ใช้เสียงของส.ว.หนึ่งในสาม นี่คือการเปิดทางให้ล้มเกิดการมติของสมาชิกสภารัฐสภาที่เกินกึ่งหนึ่งได้ ถ้ามีกลุ่มบุคคลใดสามารถสั่งการ สว. จะเกิดอะไรขึ้น 

“ ไม่ต้องอายกันหรอกครับ ผมอยู่มาวันแรกตั้งแต่ที่ท่านเข้ามา ใครใส่เสื้อสีอะไร ใครไปตัดชุดให้ ไปตัดที่ร้านไหน เรารู้กันหมดครับ“

เช่นเดียวกับ ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งชี้แจงว่า การสร้างเงื่อนไขให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามนั้น จะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความยุ่งยาก และซับซ้อนเกินความจำเป็น 

อีกทั้งเงื่อนไขดังกล่าว ยังไม่สอดคล้องกับหลักการของสัดส่วนอำนาจในระบอบประชาธิปไตยในระบบตัวแทน 

“โดยข้อเท็จจริงแล้ว สส. เรามีที่มามาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ ในขณะที่ สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้มาจากการคัดเลือกกันเอง ซึ่งไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชน สิ่งนี้สะท้อนถึงระดับความเชื่อมโยงกับประชาชนที่ไม่เท่ากัน ซึ่งนี่ถือเป็นประเด็นที่เราจะต้องนำมาพิจารณาให้รอบด้าน”

ขัตติยา ย้ำว่า หากมีการสร้างเงื่อนไขให้เสียงหนึ่งในสามของ สว. ซึ่งมีจำนวน 67 คน มายับยั้งเสียงส่วนใหญ่ของ สส. ที่มาจากประชาชนได้ ก็อาจจะทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นหยุดชะงัก ทั้งที่สังคมไทยอาจจะมีฉันทามติชัดแล้วว่าประเทศไทยควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

“ตามที่เพื่อนสมาชิกบางท่านได้ให้เหตุผลว่าการคงไว้ซึ่งเสียงหนึ่งในสามของสว. เป็นกลไกที่จำเป็น  เพื่อที่จะป้องกันระบบเสียงข้างมากลากไป โดยอ้างว่าพรรคการเมือง อาจจะใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ที่จะกำหนดทิศทางที่ตัวเองต้องการ

แต่ดิฉันก็ต้องขอเรียนว่าหลักการเสียงข้างมากมันเป็นหลักการสากลของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งใช้อยู่ในรัฐสภาทุกแห่ง โดยมีกรอบสำคัญคือ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของเสียงส่วนน้อย นี่คือวิธีที่ระบอบประชาธิปไตย ใช้บริหารความเห็นต่างอย่างสันติ ไม่ใช่ระบบที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชน

และไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่เข้มแข็งประเทศใดในโลก ที่ยอมรับให้เสียงข้างน้อยมีอำนาจเหนือเสียงข้างมากมากำหนดทิศทางของประเทศเช่นเดียวกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะนำไปสู่การเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง”

ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงเช่นกันว่า หากกรรมาธิการเสียงข้างมากยอมผ่อนปรนในประเด็นนี้ โดยยอมให้มีเสียงของ สว. หนึ่งในสามในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขึ้นมาเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง ก็อาจจะทำให้การพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่กำลังเดินอยู่ เป็นไปด้วยดีในการลงมติวาระสาม ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้เสียงของ สว.หนึ่งในสามอยู่เช่นกัน

แต่จาตุรนต์ ชี้ว่า หากเราไม่ยืนยันหลักการของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก เพื่อให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้จริง สุดท้ายเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็จะต้องวนกลับมาที่รัฐสภา และหากเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่เป็นไปตามที่เสียงข้างน้อยต้องการ ร่างรัฐธรรมนูญที่ทำกันมาก็จะถูกปัดตกไปทันที

จาตุรนต์ ชี้ว่า สาเหตุที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติให้การรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยรัฐสภา ให้ใช้มติเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา โดยไม่มีเงื่อนไขเสียงของ สว. จำนวน หนึ่งในสาม เป็นเพราะ เราไม่ต้องการให้เกิดการรวมเสียงของ สว. มากำหนดอนาคตของบ้านเมือง

ในกรณีนี้หมายความว่า หากมีใครสามารถรวมเสียงของสว. ได้ สองในสาม หรือ 134 เสียง ก็จะสามารถกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศได้ หากนำ 134 เสียง มาคิดเป็นสัดส่วนกับจำนวนสมาชิกและสภาทั้งหมด 700 เสียง เท่ากับว่าจำนวนเสียงสองในสามของ สว. ที่จะมาชี้อนาคตของประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนเพียง 19% ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด

“นี่ไม่ใช่พวกมากไป แต่นี่คือพวกน้อยมากๆกำลังจะเข้ามากำหนดอนาคตของประเทศ แทนคนส่วนใหญ่ นี่คือความวิปริตของระบบ”

มากไปกว่านั้นจาตุรนต์ ชี้แจงด้วยว่า ในทางที่ดีที่สุดแล้วของกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากเป็นไปตามมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก จะต้องมีการนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ให้ประชาชนลงประชามติให้ความเห็นชอบเป็นวาระสุดท้ายก่อนประกาศบังคับใช้ 

ฉะนั้นการที่มีข้อเสนอให้ใช้เสียงของสว. หนึ่งในสามในการรับรองให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญก่อนนั้น จะเป็นการใช้อำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน

สุดท้ายในขั้นตอนของการลงมติ สมาชิกรัฐสภา ให้ความเห็นชอบการสงวนแปรญัตติของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย คือให้มีการใช้เงื่อนไขของ สว. 1 ใน 3 ในการผ่านความเห็นชอบรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำนวน 310 ต่อ 290 เสียง 

แต่เนื่องจากคะแนนเสียงห่างกันไม่ถึง 30 เสียง ที่ประชุมจึงมีการเสนอให้มีการนับคะแนนใหม่โดยการขานชื่อ สุดท้ายผลการนับคะแนนสรุปว่า ……

#พรรคเพื่อไทย #ก่อแก้วพิกุลทอง #ขัตติยาสวัสดิผล #จาตุรนต์ฉายแสง #แก้รัฐธรรมนูญ

ก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก อภิปรายชี้แจงต่อข้อความกังวลของสมาชิกวุฒิสภา ที่เห็นว่าการตัดอำนาจ ส.ว. ในการให้การรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามนั้น จะเป็นการกระทำที่ละเมิดมติของประชาชน 16 ล้านเสียง ที่ให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2560 

ก่อแก้ว กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ได้มาจากการทำรัฐประหาร และตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมารณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว แต่ในเวลานั้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีการจับกุมผู้ที่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ ไปดำเนินคดี 

การรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นจึงถือว่าเป็นการรณรงค์เพียงฝ่ายเดียว เพราะเป็นการปิดปาก และมัดมือชก พร้อมกับหลอกลวงว่าให้รับไปก่อนแล้วค่อยไปแก้ทีหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้โดยง่าย

“มีการพูดว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่เอาไว้โกงคนอื่น ในปี 2562 พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 

ส่วนการเลือกตั้งในปี 2566 พรรคก้าวไกลชนะมาเป็นอันดับหนึ่งก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะต้องใช้เสียง สว. ด้วย นี่จึงถือการโกงอำนาจกันชัดๆ”

ก่อแก้ว ยังระบุด้วยว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลไกที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถที่จะทำงานเพื่อตอบสนองประชาชนได้อย่างเต็มที่

เขาย้ำไปถึงการพิจารณารายมาตราซึ่งผ่านมาแล้ว คือการพิจารณาในเรื่องขององค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่สุดแล้วรัฐสภามีมติเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นมา 35 คน โดยใช้สูตร 20 หยิบ 1  จากสมาชิกรัฐสภา ซึ่งนั่นก็ถือว่าได้มาจากเสียงของ สส. และ สว. แล้ว และในท้ายที่สุดเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้น ก็จะมีการนำร่างรัฐธรรมนูญไปให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง

“เราจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องมาทะเลาะกันว่าจะต้องใช้เสียงคุณ หรือใช้เสียงผม เราเป็นสมาชิกรัฐสภาเหมือนกัน เราควรมีความรับผิดชอบต่อประเทศนี้ร่วมกัน และหากพูดอย่างเป็นธรรมเราก็ควรมีเสียงเท่ากัน ไม่ควรสร้างเงื่อนไขอะไรขึ้นมาเป็นอุปสรรคให้กับการแก้ปัญหาครั้งนี้ เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานๆ ปัญหาที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสร้างขึ้นอาจทำให้ประเทศนี้ล่มจม”

ก่อแก้ว ย้ำอีกครั้งว่า ในมาตรา 256 / 28 ตามมติของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ได้กำหนดให้การเห็นชอบรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับเสียงเกินครึ่งหนึ่งจากสมาชิกรัฐสภาก็เพียงพอแล้ว และไม่มีทางที่จะเกิดสภาวะของการที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งสามารถกินรวบได้ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ได้เสียเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา มากที่สุดก็ได้จำนวนที่นั่งสส. ไม่เกิน 150 คน

แต่ประเด็นสำคัญที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การเป็นเผด็จการวุฒิสภา เพราะหากให้ใช้เสียงของส.ว.หนึ่งในสาม นี่คือการเปิดทางให้ล้มเกิดการมติของสมาชิกสภารัฐสภาที่เกินกึ่งหนึ่งได้ ถ้ามีกลุ่มบุคคลใดสามารถสั่งการ สว. จะเกิดอะไรขึ้น 

“ ไม่ต้องอายกันหรอกครับ ผมอยู่มาวันแรกตั้งแต่ที่ท่านเข้ามา ใครใส่เสื้อสีอะไร ใครไปตัดชุดให้ ไปตัดที่ร้านไหน เรารู้กันหมดครับ“

เช่นเดียวกับ ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งชี้แจงว่า การสร้างเงื่อนไขให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามนั้น จะทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความยุ่งยาก และซับซ้อนเกินความจำเป็น 

อีกทั้งเงื่อนไขดังกล่าว ยังไม่สอดคล้องกับหลักการของสัดส่วนอำนาจในระบอบประชาธิปไตยในระบบตัวแทน 

“โดยข้อเท็จจริงแล้ว สส. เรามีที่มามาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ ในขณะที่ สว. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้มาจากการคัดเลือกกันเอง ซึ่งไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชน สิ่งนี้สะท้อนถึงระดับความเชื่อมโยงกับประชาชนที่ไม่เท่ากัน ซึ่งนี่ถือเป็นประเด็นที่เราจะต้องนำมาพิจารณาให้รอบด้าน”

ขัตติยา ย้ำว่า หากมีการสร้างเงื่อนไขให้เสียงหนึ่งในสามของ สว. ซึ่งมีจำนวน 67 คน มายับยั้งเสียงส่วนใหญ่ของ สส. ที่มาจากประชาชนได้ ก็อาจจะทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นหยุดชะงัก ทั้งที่สังคมไทยอาจจะมีฉันทามติชัดแล้วว่าประเทศไทยควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

“ตามที่เพื่อนสมาชิกบางท่านได้ให้เหตุผลว่าการคงไว้ซึ่งเสียงหนึ่งในสามของสว. เป็นกลไกที่จำเป็น  เพื่อที่จะป้องกันระบบเสียงข้างมากลากไป โดยอ้างว่าพรรคการเมือง อาจจะใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ที่จะกำหนดทิศทางที่ตัวเองต้องการ

แต่ดิฉันก็ต้องขอเรียนว่าหลักการเสียงข้างมากมันเป็นหลักการสากลของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ซึ่งใช้อยู่ในรัฐสภาทุกแห่ง โดยมีกรอบสำคัญคือ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของเสียงส่วนน้อย นี่คือวิธีที่ระบอบประชาธิปไตย ใช้บริหารความเห็นต่างอย่างสันติ ไม่ใช่ระบบที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชน

และไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่เข้มแข็งประเทศใดในโลก ที่ยอมรับให้เสียงข้างน้อยมีอำนาจเหนือเสียงข้างมากมากำหนดทิศทางของประเทศเช่นเดียวกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะนำไปสู่การเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง”

ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงเช่นกันว่า หากกรรมาธิการเสียงข้างมากยอมผ่อนปรนในประเด็นนี้ โดยยอมให้มีเสียงของ สว. หนึ่งในสามในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขึ้นมาเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง ก็อาจจะทำให้การพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่กำลังเดินอยู่ เป็นไปด้วยดีในการลงมติวาระสาม ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้เสียงของ สว.หนึ่งในสามอยู่เช่นกัน

แต่จาตุรนต์ ชี้ว่า หากเราไม่ยืนยันหลักการของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก เพื่อให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้จริง สุดท้ายเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็จะต้องวนกลับมาที่รัฐสภา และหากเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่เป็นไปตามที่เสียงข้างน้อยต้องการ ร่างรัฐธรรมนูญที่ทำกันมาก็จะถูกปัดตกไปทันที

จาตุรนต์ ชี้ว่า สาเหตุที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติให้การรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยรัฐสภา ให้ใช้มติเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา โดยไม่มีเงื่อนไขเสียงของ สว. จำนวน หนึ่งในสาม เป็นเพราะ เราไม่ต้องการให้เกิดการรวมเสียงของ สว. มากำหนดอนาคตของบ้านเมือง

ในกรณีนี้หมายความว่า หากมีใครสามารถรวมเสียงของสว. ได้ สองในสาม หรือ 134 เสียง ก็จะสามารถกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศได้ หากนำ 134 เสียง มาคิดเป็นสัดส่วนกับจำนวนสมาชิกและสภาทั้งหมด 700 เสียง เท่ากับว่าจำนวนเสียงสองในสามของ สว. ที่จะมาชี้อนาคตของประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนเพียง 19% ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด

“นี่ไม่ใช่พวกมากไป แต่นี่คือพวกน้อยมากๆกำลังจะเข้ามากำหนดอนาคตของประเทศ แทนคนส่วนใหญ่ นี่คือความวิปริตของระบบ”

มากไปกว่านั้นจาตุรนต์ ชี้แจงด้วยว่า ในทางที่ดีที่สุดแล้วของกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากเป็นไปตามมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก จะต้องมีการนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ให้ประชาชนลงประชามติให้ความเห็นชอบเป็นวาระสุดท้ายก่อนประกาศบังคับใช้ 

ฉะนั้นการที่มีข้อเสนอให้ใช้เสียงของสว. หนึ่งในสามในการรับรองให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญก่อนนั้น จะเป็นการใช้อำนาจที่เหนือกว่ามติของประชาชน

สุดท้ายในขั้นตอนของการลงมติ สมาชิกรัฐสภา ให้ความเห็นชอบการสงวนแปรญัตติของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย คือให้มีการใช้เงื่อนไขของ สว. 1 ใน 3 ในการผ่านความเห็นชอบรับรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำนวน 310 ต่อ 290 เสียง 

แต่เนื่องจากคะแนนเสียงห่างกันไม่ถึง 30 เสียง ที่ประชุมจึงมีการเสนอให้มีการนับคะแนนใหม่โดยการขานชื่อ สุดท้ายผลการนับคะแนนสรุปว่า ……

#พรรคเพื่อไทย #ก่อแก้วพิกุลทอง #ขัตติยาสวัสดิผล #จาตุรนต์ฉายแสง #แก้รัฐธรรมนูญ