“ดร.ทักษิณ” ปาฐกถาพิเศษ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย” เสนอแผนพลิกฟื้นทั้งระบบ – จากหนี้ครัวเรือน รถไฟฟ้า 20 บาท สู่ Soft Power, คริปโต, ระบบราชการใหม่ รื้อระบบใต้โต๊ะ และ “ผู้ว่า CEO”
วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษในงาน “Unlocking Thailand’s Future – ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยเป็นเวทีที่เปิดให้ผู้นำจากหลายภาคส่วนมานำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง หรือระบบบริหาร
ดร.ทักษิณใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการบรรยาย โดยเปิดปาฐกถาสะท้อนความห่วงใยต่อทิศทางของประเทศ พร้อมเสนอแผนฟื้นฟูประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้า และการออกแบบระบบใหม่ระยะยาวเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้อีกครั้งในเวทีโลก
🔴 “ประเทศไทยวันนี้สะดุดอยู่กับที่ – หลายเรื่องถอยหลังลงคลอง”
“เรามีทรัพยากร มีคนเก่ง มีความพร้อม แต่ประเทศกลับเหมือนกำลังย่ำอยู่กับที่ บางเรื่องถอยหลังลงคลองเสียด้วยซ้ำ” ดร.ทักษิณกล่าวเปิดปาฐกถา โดยย้ำว่าตนติดตามสถานการณ์ของประเทศไทยมาตลอดกว่า 20 ปี นับตั้งแต่พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรู้สึกเป็นห่วงว่า โครงสร้างรัฐไทยไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อีกต่อไป
ดร.ทักษิณ ระบุว่าระบบราชการขาดความยืดหยุ่น ล้าหลัง และกลายเป็น “เครื่องจักรที่ไม่มีใครควบคุม” แม้เจ้าหน้าที่บางคนจะมีความสามารถ แต่ระบบโดยรวมกลับไม่มีพลัง ไม่มีความเชื่อมั่นร่วมกันในสังคม “เราขาดพลังแห่งความเชื่อมั่น และพลังแห่งความรักในกันและกัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการเปลี่ยนแปลงประเทศ”
🔴 “ถ้าไม่ลดภาระประชาชน – เศรษฐกิจจะไร้แรงฟื้น”
ในช่วงกลางของปาฐกถา ดร.ทักษิณลงลึกในรายละเอียดด้านเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง แต่ไม่สามารถดึงมาใช้ได้เต็มที่ GDP ของไทยในปัจจุบัน เติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 22–75% โดยเฉพาะภาค SMEs และเกษตรกรรมที่ถูกนโยบายไม่ทันยุคซ้ำเติมอย่างหนัก เช่น การปล่อยให้สินค้าจีนทุ่มตลาดโดยไม่ผ่านมาตรฐานควบคุม ทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้
หนึ่งในข้อเสนอเร่งด่วน คือ “AMC สำหรับประชาชน” ซึ่งแยกออกจาก AMC เดิมของระบบการเงิน โดยให้รัฐออกกฎหมายเฉพาะเพื่อให้สามารถซื้อหนี้ของประชาชนมาบริหารอย่างมีมนุษยธรรม โดยเฉพาะหนี้ที่เกิดจากการดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น หนี้จากบัตรเครดิต หนี้รายวัน หรือหนี้ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการพนันและหวยใต้ดินที่กำลังลุกลามอย่างหนัก
“ถ้าเราไม่ปลดล็อกหนี้วันนี้ กำลังซื้อจะไม่มีวันกลับมา และประชาชนจะไม่มีแรงสร้างเศรษฐกิจใหม่ใด ๆ ได้เลย” ดร.ทักษิณกล่าว พร้อมย้ำว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็น “การปลดล็อกระบบหายใจของเศรษฐกิจไทย”
🔴 “20 บาทตลอดสาย – ปลดล็อกการเดินทางของประชาชน”
ดร.ทักษิณกล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่เขาเสนอไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างรถไฟฟ้า 10 สายในสมัยเป็นรัฐบาล แต่วันนี้คนไทยกลับยังเข้าไม่ถึง เพราะค่าโดยสารสูงเกินไป และไม่มีระบบฟีดเดอร์ที่เชื่อมโยงทั่วถึง
เขาเสนอให้รัฐนำรายได้จากระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) มาอุดหนุนค่าขนส่งสาธารณะ และดึงรถเมล์และรถสองแถวท้องถิ่นมาเป็นฟีดเดอร์แท้จริง เพื่อให้คนทุกระดับเข้าถึงระบบคมนาคมของเมืองได้ ไม่ใช่แค่คนชั้นกลางในเขตเมืองเท่านั้น
ขณะเดียวกันถนนใหญ่ๆ ต้องทำถนนชาร์จไฟแบบไร้สาย ซึ่งต่างประเทศเขาทำกัน เพื่อนำเงินส่วนนี้มาเป็นเงินอุดหนุนให้กับคนทั่วไปที่ใช้รถสาธารณะ ซึ่งทั้งหมดจะเร่งให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้
🔴 “เปิด Sandbox คริปโต – ดึง ‘เงินใหม่’ เข้าสู่ประเทศ”
อีกหนึ่งประเด็นใหม่ที่ ดร.ทักษิณ เปิดเผยสิ่งที่กำลังจะดำเนินการ คือการเตรียมเปิด “Sandbox คริปโตเคอร์เรนซี” ทั่วประเทศ ภายใน 2–3 เดือนข้างหน้า โดยทราบว่ามีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นกลไกหลักในการอนุญาตให้ใช้ e-money ซึ่งจะปูทางให้ผู้ถือครอง Bitcoin และ Ethereum ใช้จับจ่ายซื้อสินค้าและบริการในประเทศไทยได้
เขายกตัวอย่างสายการบินที่เริ่มรับ Bitcoin แล้ว และอธิบายว่า ระบบแปลงค่าเงินแบบเรียลไทม์จะทำให้ร้านค้าไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาคริปโต ซึ่งต่างจากการรับเงินต่างประเทศแบบเดิม
“เงินใหม่” หรือ Fresh Money จากกลุ่มที่ถือครองคริปโตทั่วโลกจะไหลเข้าประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างสภาพคล่องให้ระบบโดยไม่ต้องพึ่งแต่ภาษีหรือหนี้สาธารณะ
🔴 “AOT ควรเป็นเสาหลักเศรษฐกิจการบิน – PSC ต้องปรับ”
ดร.ทักษิณ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค แต่กลับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (PSC) ต่ำกว่าสิงคโปร์มาก เขาเสนอว่าหากปรับเพิ่มเพียง 100 บาท จะทำให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรเพิ่มปีละกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอจะขยายสนามบินในภูมิภาค และสร้างศูนย์คาร์โกกับศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ได้เต็มรูปแบบ
🔴 “ราชการใหญ่เกินไป – ไม่มีเจ้าภาพนโยบาย ต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ทั้งระบบ”
ดร.ทักษิณกล่าวว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไม่ก้าวหน้า คือระบบราชการที่ใหญ่ขึ้นแต่บริการแย่ลง โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่ตนพ้นตำแหน่ง “สมัยผมอยู่ พยายามให้ข้าราชการทำงานวันเสาร์อาทิตย์ ทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว”
เขาเสนอแนวคิดให้ “มหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยทำแผนปฏิรูปราชการ” แทนการให้กลุ่มนักการเมืองเข้าไปควบคุม เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง และสามารถวางโครงสร้างองค์กรใหม่ที่เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละกระทรวง พร้อมเสนอให้ใช้ระบบ “ค่าธรรมเนียมบริการ” แทนใต้โต๊ะ เช่น ค่ารังวัดที่ดินที่สามารถเปิดเผยได้ตรงไปตรงมา และนำรายได้ไปเป็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างโปร่งใส
เขายังเปรียบเทียบกับดูไบ ซึ่งไม่มีภาษีแต่มีระบบเก็บ “ฟี” จากทุกบริการของรัฐ แล้วนำกลับมาเป็นค่าตอบแทนรัฐที่มีคุณภาพ “ถ้าเก็บบนโต๊ะได้ และเจ้าหน้าที่มีคุณภาพ เราจะไม่ต้องกลัวใต้โต๊ะอีกต่อไป”
🔴 “ต้องคืนผู้ว่า CEO – คืนเจ้าภาพให้ทุกจังหวัด”
หนึ่งในแนวทางเชิงโครงสร้างที่ดร.ทักษิณหยิบยกกลับมาคือแนวคิด “ผู้ว่า CEO” ซึ่งเคยเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย โดยเขาเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่ CEO ของแต่ละกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่ CEO ประจำจังหวัด ซึ่งหมายถึงการเป็นเจ้าภาพในนโยบายทุกมิติ ตั้งแต่วางยุทธศาสตร์ ประเมินผล และรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรง “ถ้าไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีใครรับผิดชอบจริง ประเทศก็ไม่เดินหน้า”
🔴 “ความมั่นคงต้องมาพร้อมความปลอดภัย – สมาร์ทซิตี้ไม่ใช่แค่กล้อง แต่คือความไว้วางใจ”
ในช่วงท้ายของปาฐกถา ดร.ทักษิณเล่าถึงเหตุการณ์ส่วนตัวที่มีผู้ปาระเบิดควันใกล้บ้านของตนเองในย่านวงเวียนใหญ่ แต่สามารถจับคนร้ายได้จากกล้องวงจรปิดทั่วเมือง เขาใช้กรณีนี้เป็นตัวอย่างว่า “ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องสร้างความมั่นใจ” โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่ต้องรีบยกระดับเป็นสมาร์ทซิตี้ให้ได้โดยเร็ว
สำหรับการดูแลเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เขาเสนอให้ใช้ AI Camera ติดตั้งในพื้นที่สำคัญ พร้อมเสนอให้ทำ ประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจ โดยกล่าวว่า “หากผมไปจีน เที่ยวหน้า จะให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เลยว่า ถ้าใครมาไทยแล้วโดนฆ่าหรือโดนปล้น ผมจะรับผิดชอบเอง” เพราะประเทศไทยต้องสร้างความปลอดภัยให้เป็นทรัพย์สินร่วมของทุกคน
🔴 “Soft Power ต้องมาเต็ม – F1 + Tomorrowland + Bangkok Fashion Week”
ดร.ทักษิณ ยืนยันว่า Soft Power ไม่ใช่แค่เพลงหรือหนัง แต่คืออุตสาหกรรมสร้างมูลค่าที่รัฐต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยเปิดเผยว่า ปีหน้าจะมีคอนเสิร์ต Tomorrowland และการแข่งขันรถสูตร 1 (F1) จัดในประเทศไทยจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
และเสนอแนวทางให้เก็บค่าชมจากนักท่องเที่ยวในอัตราสูง แต่เก็บจากคนไทยเพียง 100 บาท และจัดควบคู่กับงานอื่น เช่น Bangkok Fashion Week และคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ซึ่งจะกระตุ้นการท่องเที่ยว การบริโภค และทำให้โรงแรมในกรุงเทพฯ เต็มในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นแนวทางรัฐบาล โดยนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬากำลังดำเนินการอยู่
🔴 “ผมเป็นเสมียนประเทศ รวบรวมข้อมูลส่งต่อให้ท่านนายกฯ และ รัฐบาล”
ปิดท้ายการปาฐกถา ดร.ทักษิณย้ำว่า “ผมไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมือง” แต่ยินดีเป็น “เสมียนประเทศ” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล กลั่นกรองข้อเสนอ และส่งต่อให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ซึ่งเขาหวังว่าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
“ไม่มีใครเปลี่ยนนายกฯ ได้หรอก เพราะวันนี้ ประเทศไทยต้องการความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ความวุ่นวายอีก”
ดร.ทักษิณ ทิ้งท้ายด้วยเรื่องเล่าจากเพื่อนสิงคโปร์ที่เคยกล่าวว่า “ตอนยูกลับมา เราหนักใจ เพราะไทยอาจกลับมาแข่งขันได้อีก แต่พอเห็นทะเลาะกันแบบนี้ เราก็สบายใจแล้ว” ซึ่งดร.ทักษิณกล่าวว่า นั่นคือความน่าเศร้าที่แท้จริงของสังคมไทย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “หันหน้าเข้าหากัน ยุติความขัดแย้งไร้สาระ แล้วร่วมมือกันพาประเทศไปข้างหน้า”
#พรรคเพื่อไทย #ปลดล็อกอนาคตประเทศไทยสู้วิกฤติโลก #ทักษิณชินวัตร

บทความที่เกี่ยวข้อง
