สุทิน คลังแสง สส.พรรคเพื่อไทย จ.มหาสารคาม อภิปรายว่า การสรรหาบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า นายกรัฐมนตรี ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีส่วนสำคัญต่อชีวิตคนไทยทุกคน และมีผลต่อหน้าตา ความเชื่อถือของประเทศ
ตนไม่ติดใจว่าสุดท้ายแล้วใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งหากเป็นคนในสภาผู้แทนแห่งนี้แล้วตนก็พร้อมที่จะสนับสนุน แต่สิ่งที่พวกเราทุกคนที่เป็นผู้แทนราษฎรด้วยกันกว่า 500 ชีวิตต้องคำนึง คือ แม้เราอยากให้พวกของเราได้เป็น แม้เราจะไม่ขัดข้อง แต่ประการแรกเราจะต้องคัดเอาคนที่มีความสง่างามที่สุด เพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติยศของสภา ไม่ให้ใครมาดูแคลนได้ ว่าสภาแห่งนี้เลือกตัวแทนไปเป็นนายกรัฐมนตรีโดยใช้ไม่ได้
นอกเหนือจากความสง่างาม และเกียรติยศของสภาแล้ว ต้องเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ เพราะความเชื่อถือของต่างชาติมีผลต่อชีวิตของคนไทย
ความสง่างามการยอมรับจากต่างชาติที่พูดถึงนี้ ถามว่าจะเอาอะไรมาวัด จริงๆแล้วเรามีกฎหมายที่เขียนขึ้นมาเรียบร้อย ซึ่งก็คือคุณสมบัติตามกฏหมาย แต่นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญคือ เรื่องของโรคติติง แม้จะไม่ได้มีการบัญญัติไว้ในกฎหมาย แต่มีการบัญญัติไว้ในหลักจริยธรรม
ฉะนั้นเรื่องคุณสมบัติตามข้อกฎหมายต้องได้ และเรื่องของหลักจริยธรรมต้องถูกต้อง นี่ถือเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงให้มากในการที่จะเลือกใครขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้กระบวนการเองก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะได้บุคคลที่มีลักษณะสง่างาม แต่กระบวนการมันก็ต้องเป็นไปในลักษณะที่เป็นการรักษาระบบประชาธิปไตยแบบสภาของเราไว้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่ค่อยแน่ใจอย่างยิ่งว่า การจะได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ถือเป็นการลงทุนเพื่อทำลายระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาอย่างมากหรือไม่ ทำให้มาตรฐานสภาตกต่ำ และจะสร้างความยุ่งเหยิงต่อไปอีกมาก
สุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อได้ตรวจดูคุณสมบัติของคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านทั้งชัยเกษม นิติสิริ และอนุทินชาญวีรกุล ก็ดูไม่มีปัญหาอะไรมาก โดยเฉพาะชัยเกษมก็มีประวัติที่เรียบร้อยบริสุทธิ์ แต่กลับอนุทิน ต้องเรียนตามตรงว่าตนไม่สบายใจในคุณสมบัติตามข้อกฎหมาย และคาดว่าจะมีปัญหาตามมาแน่นอน
“เรื่องนี้ก็รู้กันทั่วทั้งเมือง เรื่องคดีฮั้ว สว. ท่านเป็นคนที่ถูกความดำเนินคดี ซึ่งท่านได้ไปรับทราบข้อกล่าวหา และขณะนี้คดีกำลังอยู่ในชั้นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม”
“ในทางศาสนาคนจะบวช และบวชแล้วจะสามารถอยู่ในสมณเพศได้ไหม จะถูกจับสึกได้ไหม มันมีโทษอยู่สองอย่าง อันนึงเรียกว่าโลกวัชชะ หากเกิดโรคติติงขึ้นแล้วเนี่ยไม่ควรบวช หากบวชอยู่แล้วก็ต้องสึก อันที่สองคือปัณณัตติวัชชะ ก็คือข้อกฎหมายหรือวินัยสงฆ์ต้องได้
สองคนที่เสนอชื่อในวันนี้ ผมดูแล้วก็ไม่ได้ลำเอียงนะ ท่านชัยเกษมไม่ได้มีทั้งโลกวัชชะและปัณณัตติวัชชะ แต่สำหรับท่านที่สอง คือท่านอนุทิน ผมมีข้อกังขาเรื่องคดีที่ยังอยู่ แล้วข้อกังขานี้จะนำไปสู่อะไรต่อไปหากท่านอนุทินได้รับการยอมรับจากสภา ท่านประธานสภาต้องนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ท่านทราบไหมว่าข้อตกลงและหนังสือเวียนที่ทางสำนักพระราชวังได้ทำกับหน่วยงานต่างๆ ความใดที่จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ หากมีข้อปัญหาในข้อกฎหมาย จะต้องเป็นที่ยุติในข้อกฎหมายเสียก่อน หมายความว่าจะต้องมีข้อยุติในทางกฎหมายเสียก่อนจึงได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ มิเช่นนั้นก็จะถือว่าเป็นการกระทำที่มิบังควร เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท”
สุทินกล่าวต่อว่า ในส่วนของคดีฮั้ว สว. ตอนนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ และกำลังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าทำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลฯ นี่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของประธานสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนความรับผิดชอบของสมาชิกผู้แทนราษฎรเองก็ต้องคิดทบทวน ว่าเราจะส่งชื่อคนแบบไหน มีข้อยุติทางกฎหมายหรือยัง และคดีฮั้ว สว.และคดี เขากระโดงเองก็เป็นสิ่งที่กำลังถูกติติงอย่างใหญ่หลวง แบบนี้สภาจะกล้าลงมติไหม ประธานสภาเองจะกล้านำขึ้นทูลเกล้าหรือไม่ เรื่องนี้ต้องคิดให้หนัก
“ผมเองไม่ได้ขัดข้อง เพราะท่านอนุทินกับผมเองก็รักกันเคารพกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหลายโอกาส แต่ถ้าเป็นเรื่องของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับท่านเลย มันเป็นเรื่องของประชาชนเรื่องของประเทศชาติและเรื่องปากท้องของคนทุกคน… ฉะนั้นผมขอสรุปว่า ผมเห็นด้วยกับท่านชัยเกษม และไม่เห็นด้วยกับท่านอนุทิน”.
#พรรคเพื่อไทย #สุทินคลังแสง

บทความที่เกี่ยวข้อง
