‘รัฐบาลเพื่อไทย’ จัดงบสาธารณสุข วางรากฐานสุขภาพอย่างยั่งยืน คนไทยเข้าถึงสุขภาพเร็วขึ้น ใกล้บ้าน  ทัดเทียม เสมอภาคยิ่งขึ้น

น.ส.สรัสนันท์ อรรณพพร สส.ขอนแก่น ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระที่ 1 ในเรื่องนโยบายสาธารณสุข

น.ส.สรัสนันท์กล่าวว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากการลดลงของอัตราการเกิดและการไม่เพียงพอของกำลังแรงงาน ข้อมูลจากการสำรวจในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 6.8% ในปี 2537 เป็น 20.0% ในปี 2567 ภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในกลุ่มนี้สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 9.7% ของ GDP

ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทางสาธารณสุขอย่างรอบด้าน หนึ่งในนั้นคือ วิกฤตการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ที่สะสมมาอย่างยาวนาน ขณะที่ประเทศก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ความต้องการในการดูแลสุขภาพยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ระบบสาธารณสุขจึงต้องเผชิญกับภาระหนักขึ้นทุกวัน

ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องการการดูแลแบบใกล้ชิดและต่อเนื่อง การมี หน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิในชุมชนที่เข้มแข็งอย่าง อสม. ซึ่งเป็นจุดแข็งของระบบสาธารณสุขไทยมาโดยตลอด จึงเป็นสิ่งที่ “จำเป็นยิ่ง” เพราะพวกเขาอยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงวัย และสามารถ ลดความเสี่ยง (Lower Risk) ทั้งในแง่การป้องกันโรค การเฝ้าระวังภาวะเสี่ยง และการส่งต่อเพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที

แนวทางนี้ยัง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เน้นการ “การส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน” และกลุ่มโรค NCDs ที่ต้องการการดูแลในระยะยาว ไม่ใช่การรักษาเป็นครั้งๆ แล้วจบ และเราทุกคนต่างทราบกันดีว่า การรักษายากกว่าการป้องกันเสมอ

พ.ร.บ.อสม.ที่อยู่ระหว่างการผลักดัน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิและสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น แต่คือการ “ลงทุนในระบบป้องกันโรคระดับชุมชน” ที่จะช่วยลดต้นทุนสุขภาพของประเทศในระยะยาว

เพราะเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ 

ประชาชนจำนวนมากจะต้องเผชิญกับ “สภาวะ 3 ยิ่ง” — ยิ่งแก่ ยิ่งยาก ยิ่งแพง คือ ยิ่งอายุมาก สุขภาพก็ยิ่งถดถอย ยิ่งรักษายาก เพราะโรคเรื้อรังและซับซ้อน และ ยิ่งค่ารักษาแพงขึ้น อย่างต่อเนื่อง เครือข่ายสาธารณสุขปฐมภูมิระดับชุมชน อย่าง อสม. จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะโครงสร้างการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาสาธารณสุข แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจของครัวเรือน เป็นภาระของระบบแรงงาน และเป็นต้นทุนแฝงมหาศาลที่ประเทศต้องแบกรับในระยะยาว

การจัดสรรงบประมาณในปีนี้ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีวิสัยทัศน์ในการปรับโครงสร้างระบบสาธารณสุขให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และถือเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต” ไม่ใช่แค่การใช้จ่ายเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

โดยการเพิ่มงบประมาณให้กับ สปสช. มากถึง 104,286 ล้านบาท ไม่ใช่แค่รองรับภาระจากสังคมผู้สูงวัย แต่ยังวางรากฐานให้ระบบสุขภาพยั่งยืนในระยะยาว

ควบคู่ไปกับการลงทุนใน เครื่องมือ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่ กว่า 4,225.80 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ ‘ก้าวทันโลก’ และเสริมศักยภาพ รพ. ขนาดเล็กให้พร้อมดูแลผู้ป่วยที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังหลายโรค โดยลดการส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น

การลงทุนงบประมาณในจุดนี้จะช่วย “ลดภาระขาดทุนสะสม” ที่กำลังถ่วงรั้งโรงพยาบาลหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์เฉพาะทางและนักเทคโนโลยีการแพทย์ให้กลับมาอยู่ในระบบ ด้วยสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และปลอดภัยมากขึ้น

แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การจัดสรรงบประมาณอีกกว่า 1,977 ล้านบาท เพื่อยกระดับแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก โดยเฉพาะ “นวดแผนไทย” ที่เป็นอัตลักษณ์ของไทยและมีชื่อเสียงระดับโลกนโยบายนี้ต่อยอดจุดแข็งของชาติให้เป็นโอกาสเศรษฐกิจใหม่ พร้อมเป้าหมายชัดเจนในการยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็น Wellness Destination ชั้นนำของโลก ซึ่งจะไม่เพียงสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่ยังสร้างงาน สร้างคุณค่าให้กับองค์ความรู้ของไทยเอง และเรากำลังจะทำให้มันกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับประเทศ

รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นในการเตรียมโครงสร้างงบประมาณอย่างรอบด้าน เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อ “โครงกาสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ” จำนวน 726,055,100 บาท และ “โครงการพัฒนาศักยภาพและบริการส่งเสริมสุขภาพประชาชนทุกกลุ่มวัย” อีก 154,764,300 บาท เป็นการตอกย้ำความตั้งใจของรัฐในการลงทุนเชิงรุก เพื่อรองรับภาวะพึ่งพิงและความต้องการดูแลระยะยาวของผู้สูงอายุ ซึ่งหลายคนมีภาวะติดเตียงหรือทุพพลภาพ

ระบบดูแลผู้สูงอายุระยะยาว จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลที่บ้านหรือในชุมชน สอดคล้องกับกรณีศึกษาจาก จีน ที่พบว่า โครงการประกันการดูแลระยะยาวช่วยลดภาระเวลาในการดูแลของครอบครัวได้ถึง 1.14 ชั่วโมงต่อวัน และลดการล่าช้าในการทำงานของผู้ดูแลจากภาระการดูแลได้ถึง เกือบ 20% หมายความว่า ลูกหลานไม่ต้องกังวลว่าผู้สูงอายุจะอยู่ลำพังหรือต้องติดเตียงโดยไม่มีคนดูแล นอกจากนี้ เมื่อมีระบบดูแลผู้สูงอายุที่ดี ทำให้วัยแรงงานสามารถ กลับไปทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ต้องลาออกจากงาน และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของครอบครัวและประเทศชาติ 

งบประมาณสำหรับ สุขภาพจิต จะสามารถนำไปต่อยอดโครงเพื่อผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลด้านจิตใจ มีกิจกรรมทางสังคม ไม่ต้องโดดเดี่ยวและเศร้าซึม ดังเช่นโครงการ Social Prescribing ในสหราชอาณาจักรที่พบว่าช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุได้ถึง 42%  

ประชาชนจะได้รับบริการสุขภาพที่ทันสมัยและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่และด้วยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นของสปสช.เพื่อวางการระบบการรักษาพยาบาล จะทำให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้เพิ่มขึ้น โรงพยาบาลชุมชนจะได้รับการยกระดับให้เป็นศูนย์ดูแลสุขภาพที่ใกล้บ้าน มีการศึกษาที่ชี้ว่าการเข้าถึงบริการปฐมภูมิที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการมีสุขภาพที่ดีขึ้นและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงในกลุ่มผู้สูงอายุ

ชีวิตปลอดภัยขึ้นจากภาวะฉุกเฉิน และลดความพิการ จากงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเกือบ 50% สำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน จะช่วยให้ผู้ป่วยวิกฤต โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมอง หัวใจ หรืออุบัติเหตุ ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที งานวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า การใช้บริการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถลดระยะเวลาการรอรับการรักษาในโรงพยาบาลได้ถึง 1.18 ชั่วโมง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความพิการและอัตราการเสียชีวิต ซึ่งจะช่วย ลดความพิการและอัตราการเสียชีวิต จากภาวะวิกฤตเหล่านี้ได้

การยกระดับระบบสาธารณสุขในครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร แต่คือ “การลงทุนเชิงรุก” เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโครงสร้างประชากรไทยเพื่อให้ระบบรองรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

รัฐบาลจึงเร่งวางรากฐาน ระบบสาธารณสุขระดับปฐมภูมิที่เข้มแข็ง ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในชนบท ผ่านการกระจายบุคลากรและทรัพยากรทางสุขภาพอย่างเป็นธรรม และยกระดับ อสม. ให้เป็น “ด่านหน้ามืออาชีพ” ด้วยเทคโนโลยีและการฝึกอบรมต่อเนื่อง

“จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคในวันนั้น สู่ 30 บาทรักษาทุกที่ในวันนี้ เราพรรคเพื่อไทยหวังอำนวยความสะดวกให้ชีวิตคนไทยทุกคนได้เข้าถึงสุขภาพเร็วขึ้น ใกล้บ้านขึ้น ทัดเทียมขึ้น และเสมอภาคยิ่งขึ้น สุขภาพดี = เศรษฐกิจดี = ประเทศมั่นคง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเราจะไม่หยุดนิ่ง จะไม่หยุดทำ และจะดูแลพี่น้องประชาชน จนกว่าจะมีคุณภาพชีวิตทีดีขึ้น” น.ส.สรัสนันท์กล่าว

#พรรคเพื่อไทย #อภิปรายงบประมาณ69 #โอกาสไทยเกมใหม่รับวิกฤตโลก #สรัสนันท์