นายจาตุรนต์ ฉายแสง สรุปการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยืนยันว่ารัฐสภาควรรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง และควรเลือกร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลัก เพราะร่างของพรรคเพื่อไทยมีความยึดโยงประชาชน สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มี สสร. มาเป็นกรรมการยกร่าง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ในวาระแรก สรุปการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยืนยันว่ารัฐสภาควรรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง และควรเลือกร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลัก เพราะร่างของพรรคเพื่อไทยมีความยึดโยงประชาชน สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มี สสร. มาเป็นกรรมการยกร่าง และเชื่อว่าร่างของพรรคเพื่อไทยจะช่วยให้กระบวนการร่างแก้ไขดำเนินไปอย่างราบรื่น และสามารถเสร็จทันเวลาเพื่อนำไปให้ประชาชนได้ลงประชามติพร้อมกับเลือกตั้งทั่วไปได้
.
[ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ]
.
ตลอดระยะเวลาการอภิปราย 2 วันที่ผ่านมา เพื่อนสมาชิกสภาได้อภิปรายถึงรัฐธรรมนูญปัจจุบันว่าปัญหาหลักของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจจุบันนั้น “ไม่เป็นประชาธิปไตย” โดยประเด็นหลักของการอภิปรายคือ การที่ประชาชนไม่ได้มีอำนาจแท้จริง องค์กรอิสระที่ไม่อิสระ แต่อิสระกับประชาชน การตรวจสอบถ่วงดุลหายไป ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่มาปราบโกง มีปัญหาเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 เป็นกรอบอยู่ทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายใหม่ยากมากส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนหายไป ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลก็ขาดประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชนไม่ได้ ระบบพรรคการเมืองก็ถูกบั่นทอนลงและสุดท้ายสิทธิประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครอง ส่งผลให้ประเทศเดินหน้าต่อไม่ได้ จึงมีความเห็นร่วมกันว่าจะต้องแก้รัฐธรรมนูญด้วยการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
[พรรคเพื่อไทย ผลักดันแก้ รธน.มาตลอด]
.
พรรคเพื่อไทยเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ตอนเป็นรัฐบาล โดยเสนอให้มีการแก้ไข ร่างโดย สสร.มาจัดทำ ตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 1 ร่าง และปี 2568 จำนวน 2 ร่าง แต่ทั้งหมดล่าช้าเพราะมีการส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพราะความไม่ชัดเจน จนปี 2568 จึงถามศาลให้ชัดเลยว่าตกลงต้องทำประชามติกันกี่ครั้ง ทำเมื่อใดบ้าง
.
มากกว่านั้น การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ต้องมีการแก้ พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งกว่าจะอธิบายให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจถึงหลักการ Double majority ที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ใช้เวลาหลายเดือน และตลอดเวลา ก็มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้ง ซึ่งก็เกิดจากความต้องการขัดขวางรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีการส่งครั้งหลังสุดนี้ ก็เพราะ “ความจำเป็น” เราส่งศาลจนเป็นที่มาของการได้พิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญกันในวันนี้ ถ้าเราไม่ส่งในวันนั้น เราก็อาจพิจารณากันบนร่างเดิมที่ดูเหมือนว่า “จะเร็วขึ้น” แต่ก็จะมีคนส่งศาลพิจารณาอยู่ดี ดังนั้น พรรคเพื่อไทย เรายืนยันเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในแนวทาง เพื่อเดินไปข้างหน้าได้ และต้องไม่พบกับทางตัน
.
[ควรรับหลักการทั้ง 3 ร่าง]
.
ข้อห่วงใยข้อแรก ร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ไม่ระบุการแก้หมวด 1 และ หมวด 2 ซึ่งขอเรียนอย่างชัดเจนว่า เราไม่ได้เสนอให้แก้หมวด 1-2 อีกทั้งร่างของเพื่อไทย ในมาตรา 255 ยังมีกำกับไว้อีกว่า จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ร่างของพรรคเพื่อไทยจะมีระบุเพียงกลไกและกระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่จะไม่ระบุว่าเนื้อหาว่าจะแก้เรื่องอะไร
.
ส่วนร่างของพรรคภูมิใจไทย ในมาตรา 256(8) ระบุกรณีแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1-2 ได้แต่ในมาตรา 256/13 กลับบอกว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองได้ ซึ่งอาจดูย้อนแย้งกันเอง
.
[ร่างแก้ไข รธน. ตรงหรือขัดแย้งกับคำวินิจฉัยศาล รธน.]
.
ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยไว้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ไว้ว่า “รัฐสภามีอํานาจริเริ่มจัดทํารัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ต้องผ่านประชามติ3 ครั้ง (เห็นชอบ-เริ่มยกร่าง-รับรองร่าง)” และ “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชน เลือก สสร. ได้โดยตรง”
.
[แล้วแต่ละร่างเสนอกันอย่างไร]
.
-พรรคเพื่อไทย ให้ประชาชนเสนอชื่อ สสร. ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก ซึ่งก็คล้ายกับการเลือกกำนันที่ให้ผู้ใหญ่บ้านเลือก ซึ่งไม่ใช่ประชาชนเลือกโดยตรง จึงเชื่อว่าไม่ขัดคำวินิจฉัย
-พรรคภูมิใจไทย ให้สมัครเข้ามา และสภาเลือกทั้งหมด ร่างนี้ก็ไม่น่าจะขัดกับคำวินิจฉัยเพราะแทบไม่มีประชาชนอยู่ในสมการนี้เลย
-พรรคประชาชน ให้ประชาชนเลือกตั้ง และสภาคัดเลือกมาอีกที รวมถึงต้องมีสภาที่ปรึกษา เลือกตั้งโดยตรง แต่ไม่ได้มาร่างเอง
.
แล้วเมื่อถามว่า โมเดลแต่ละพรรคตรงกับเจตนารมณ์ที่การแก้ไข รธน. จะต้องมี สสร.ที่ยึดโยงประชาชนหรือไม่นั้น คงพอกล่าวได้ว่า ร่างของพรรคเพื่อไทยและร่างพรรคประชาชนเชื่อมโยงกับประชาชน แต่พรรคภูมิใจไทย ขึ้นอยู่กับการเลือกของสภา ประชาชนไม่เกี่ยว ไม่ยึดโยงประชาชน ขัดต่อเจตนารมณ์การร่างรัฐธรรมนูญ ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย อีกทั้งตอนที่แก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 ให้สภาพิจารณารายมาตรา ก็ต้องให้สภาใช้เวลาพิจารณาอย่างยาวนาน และไม่ใช่หน้าที่ของสภาที่จะต้องพิจารณาทีละมาตรา ดังนั้น การให้สภาเข้ามาตัดสินทั้งหมด จะทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกครอบงำโดยเสียงข้างมากในรัฐสภา แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละพรรคก็มีร่างที่เป็นข้อดีคนละแบบ ดังนั้น หากจะรับหลักการร่างแก้ไขแล้ว ควรจะรับหลักการทุกร่าง เพราะทุกร่างก็มีหลักการหลักเดียวกัน
.
[ร่างหลักต้อง เพื่อไทย]
.
“ถ้าจะให้ดีที่สุด ต้องยอมรับว่าร่างของพรรคเพื่อไทยดีที่สุด และควรเป็นร่างหลัก เพราะร่างของพรรคเพื่อไทย ยึดโยงประชาชน ตรงกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และยังมี สสร.เข้ามาทำหน้าที่ อีกทั้งเรายังคิดมาอย่างรอบคอบที่จะมีมาตรา 256/1 เพื่อที่จะ “สร้างกระบวนการกลไก ไม่ได้ให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ในทันที” และเชื่อว่า และถ้าสภาจะต้องผ่านวาระ 3 ให้ได้ภายในสิ้นปี เพื่อให้ทำประชามติได้ทันตอนเลือกตั้งทั่วไป ก็จะต้องดูกรอบเวลาให้ดี จึงมีข้อเสนอว่า ต้องรับหลักการไปทั้ง 3 ร่าง และใช้ร่างเพื่อไทยเป็นร่างหลักเพื่อให้การพิจารณาได้รวดเร็วและทันต่อช่วงเวลาการยุบสภาและทำประชามติได้ทันพร้อมการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในปลายเดือนมีนาคมหน้า” นายจาตุรนต์กล่าว
.
#พรรคเพื่อไทย #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #จาตุรนต์ฉายแสง

บทความที่เกี่ยวข้อง

‘อนุสรณ์’ ชี้ เพื่อไทย สู้เพื่อรัฐธรรมนูญของประชาชน สู้เพื่อคืนศักดิ์ศรีให้คนไทยทุกคน
อ่านต่อ