ยืนยันระบบบัตรทอง 30 บาท ไม่ล่มสลายแน่นอน! ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนกย้ำอัตราจ่ายผู้ป่วยในไม่ใช่ 7,100 บาทยืนยันที่ 8,350 บาท

เตรียมทำข้อมูลเข้าบอร์ด สปสช. เสนอ ครม. ตั้งคณะกรรมการกลางศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ในฐานะโฆษก สปสช. แถลงข่าว “ทิศทางบริหารงบประมาณกองทุนบัตรทอง” โดย ทพ.อรรถพร กล่าวว่า จากที่มีการระบุเรื่องงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ว่าไม่เพียงพอและเสี่ยงล่มสลายภายใน 3 ปีนั้น สปสช. ขอย้ำว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก และขอยืนยันว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล่มสลาย ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศในเรื่องนี้ และเป็นผลงานที่รัฐบาลนำไปเสนอในเวทีระดับโลกมาโดยตลอด 

และไทยก็ยังเป็นต้นแบบให้กับหลายๆ ประเทศที่กำลังจะทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนในประเทศ

โดยเรามีหน่วยบริการสาธารณสุขภาครัฐทั้งกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ ภาครัฐอื่นๆ ท้องถิ่น และเอกชนที่เข้มแข็งและให้บริการกับประชาชนด้วยใจอย่างเต็มที่เสมอมา แม้จะมีทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งตัวระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยก็ไม่ได้อยู่นิ่ง มีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของระบบ

รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สำหรับการแถลงข่าวในวันนี้ สปสช. ขอชี้แจงว่าตัวเลขอัตราจ่ายผู้ป่วยใน 7,100 บาทต่อ AdjRw นั้นเป็นการคำนวณจากจำนวนการใช้บริการผู้ป่วยในที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง สปสช. ได้นำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการงานและการบริหารจัดการกองทุนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่ายืนยันอัตราจ่ายผู้ป่วยในที่ 8,350 บาทต่อ AdjRw และ สปสช. จะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป ดังนั้นไม่มีการปรับลดอัตราจ่ายผู้ป่วยในเหลือ 7,100 บาทต่อ AdjRw อย่างแน่นอน


ทั้งนี้ การที่งบประมาณการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในเป็นงบประมาณปลายปิด หรือ Global budget นั้น เนื่องจากเป็นไปตามแนวทางวิชาการของการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับประชาชนใช้หลักการนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ ในส่วนของประเทศไทย เราใช้หลักการว่าต้องไม่ต่ำกว่า 8,350 บาทต่อ AdjRw หากปลายปีงบประมาณไม่เพียงพอให้เสนอของบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งในการจ่ายเงินให้กับหน่วยบริการนั้น สปสช. ได้รับงบประมาณมาเท่าไหร่ ก็จ่ายตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมายให้กับโรงพยาบาลไปทั้งหมด หากปีไหนมีเงินเหลือก็โอนเพิ่มให้โรงพยาบาลเช่นกัน เช่น ในปี 2561-2564 การให้บริการผู้ป่วยในลดลง ทำให้มีงบประมาณเหลือ สปสช. ก็จัดสรรเพิ่มเติมให้โรงพยาบาลไปทั้งหมด

ยกตัวอย่างในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา สปสช. ได้รับจัดสรรงบกลาง จำนวน 5,924 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ สปสช. จัดสรรค่าบริการ 30 บาทรักษาทุกที่ 1,705 ล้านบาท และเงินส่วนที่เหลือได้นำมาจัดสรรค่าบริการผู้ป่วยในให้หน่วยบริการ ในอัตราไม่เกิน 8,350 บาทต่อ AdjRw

อย่างไรก็ตามที่มีข้อเสนอให้ สปสช. ปรับเพิ่มอัตราจ่ายผู้ป่วยในนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า ในการเสนอของบประมาณแต่ละปีจากสำนักงบประมาณนั้น สปสช. ต้องทำข้อเสนอตัวเลขและมีฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานรองรับด้วย ดังนั้นการจะเพิ่มเป็นอัตราเท่าไหรจึงจะเหมาะสมกับต้นทุนของโรงพยาบาล และไม่เป็นภาระต่องบประมาณของประเทศนั้น ต้องมีการศึกษาและต้องเป็นหน่วยงานกลางที่เข้ามาทำหน้าที่นี้

ด้วยเหตุนี้ สปสช. จะทำข้อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ด สปสช. เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางมาศึกษาอัตราจ่ายที่เหมาะสมสำหรับกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐต่อไป เมื่อได้คณะกรรมการที่เป็นกลางในการศึกษาแล้วจะทำให้เราได้ทราบข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลและสามารถคำนวณเป็นอัตราจ่ายที่เหมาะสมในการให้บริการต่อไป

นอกจากนั้น เพื่อให้การจ่ายเงินกองทุนผู้ป่วยในมีประสิทธิภาพมากขึ้น สปสช. ได้มีการกำกับติดตามการเบิกจ่ายเงินหรือการตรวจสอบการจ่าย ซึ่งผลการตรวจนี้จะถูกใช้ในการเสนอของบประมาณกับสำนักงบประมาณ และ สปสช. ยินดีเข้าไปดูโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาการบันทึกข้อมูลในการเบิกจ่าย จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีการบันทึกตัวเลขทางบัญชีไม่ถูกต้องประมาณ 7,000 ล้านบาท หากมีการแก้ไขตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของโรงพยาบาลได้

ทพ.อรรถพร กล่าวว่า กรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมงบประมาณการให้บริการนวัตกรรมจึงเป็นปลายเปิดนั้น สปสช. ขอชี้แจงว่า บริการนวัตกรรมเป็นบริการเสริมเพื่อลดภาระโรงพยาบาล เช่น เจ็บป่วยเล็กน้อยไปรับยาที่ร้านยาได้ ให้โรงพยาบาลได้รักษาโรคที่หนักกว่าหรือซ้ำซ้อนกว่า ที่ผ่านมาเราพบกว่าผลการให้บริการนวัตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ลดการไปโรงพยาบาลได้ และพบว่าประชาชนที่ไม่เคยใช้สิทธิมาก่อน มาใช้สิทธินี้กว่า 8 หมื่นคน เท่ากับว่าเป็นการทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่ง่ายขึ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในกลุ่มนี้ได้ และการเป็นงบปลายเปิดเพื่อจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมให้บริการในระบบ

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการมาระยะหนึ่ง สปสช. มีข้อมูลที่จะกำหนดจำนวนครั้งของการใช้บริการที่เหมาะสมในปีต่อๆ ไป ซึ่งก็จะทำให้งบประมาณในส่วนนี้ไม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้บริการนวัตกรรมที่ สปสช. จำกัดจำนวนครั้งคือ ทำฟันที่คลินิกทันตกรรม 30 บาทรักษาทุกที่ ที่ให้ 3 ครั้งต่อคนต่อปี เป้าหมายเพื่อให้คนที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพฟันได้รักษาเร็ว และลดภาระโรงพยาบาล