‘จุลพันธ์’ ยืนยัน ดันไทยเป็น ‘International Financial Hub’ เชื่อเข้าถึงเงินทุนง่ายขึ้น ลดต้นทุนทางการเงิน อย่าเอาความกลัว มาเป็นอุปสรรคพัฒนาประเทศ
วันที่ 24 ธันวาคม 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ร่วมดีเบตในรายการ ประชันวิสัยทัศน์ นับหนึ่ง “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ช่อง Nation โดยมีหลากหลายประเด็นทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคง ปัญหาทางชายแดน
คำถาม : มอตโต้ หรือสโลแกนหาเสียงของพรรคท่านรอบนี้คืออะไร แล้วทำไมถึงเลือกใช้คำนี้
จุลพันธ์ : มอตโต้หาเสียงครั้งนี้คือ ‘ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้’
เรื่องนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน ยกเครื่องประเทศไทยความหมายที่มันแฝงอยู่ภายในก็คือ รับรู้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา มีภาวะวิกฤตอยู่หลายอย่าง เช่น วิกฤติการเมือง วิกฤติรัฐธรรมนูญ วิกฤติที่ทำให้ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีสองคนภายในเวลาสองปี วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติปัญหาชายแดน
ปัญหาเหล่านี้เราต้องรับทราบถึงความมีอยู่ของมันก่อน จึงจะสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติได้
เมื่อเราทราบถึงปัญหาแล้วก็จึงมาถึงคำว่า ‘ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้’ สาเหตุที่เป็นเพื่อไทยทำได้เพราะในภาวะวิกฤตอย่างนี้ มีเพียงพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่จะสามารถเดินหน้า และแก้ไขปัญหาให้กับประเทศได้
เนื่องด้วยพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมาอย่างยาวนาน เราเริ่มเป็นพรรคการเมืองครั้งแรกเมื่อปี 2541 ตอนนั้นเป็นรุ่นของคุณทักษิณ ชินวัตร เรามีนโยบายซึ่งตอบโจทย์ประชาชน เราแก้ไขปัญหาของประเทศ เรามีการปฏิรูประบบราชการ เราสามารถทำในเรื่องเครดิตไลน์ ให้กับประชาชน คือกองทุนหมู่บ้าน เราทำเรื่องสวัสดิการรัฐคือ 30 บาทรักษาทุกโรค เราเป็นคนที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาให้กับชาติ
วันนี้นโยบายที่เรานำเสนอจึงเป็นคำตอบ เพราะในขณะนี้ต้องเรียนว่า ไม่ใช่เรื่องปกติเนื่องจากการมีรัฐราชการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในช่วงการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมาได้ฟังรากลึกจนกระทั่งสังคม และภาครัฐขาดความยืดหยุ่นในการแก้ไขปัญหา ในการรองรับนโยบายที่มีความตอบสนองต่อประชาชน
—-
คำถาม : นโยบายหลักที่พรรคจะนำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้
จุลพันธ์ : การจะขับเคลื่อนประเทศเราก็จะต้องวางยุทธศาสตร์ และวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน ซึ่งสิ่งแรกที่เพื่อไทยวางก็คือ
เราต้องตั้ง GPS ของประเทศว่า เราต้องการที่จะมุ่งไปในทิศทางไหน ปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้เป็นปัญหาสำคัญ ด้วยศักยภาพอย่างประเทศไทย เราตั้งเป้าว่าภายในสี่ปีนี้ เราจะต้องไปให้ถึงตัวการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ประมาณ 4-5% ให้ได้
ประเด็นที่สอง เรื่องของความเหลื่อมล้ำ เรามีตัวเลข Gini coefficient อยู่ที่ 3.5 เราก็ต้องตั้งเป้าให้มันลดลงมาเข้าใกล้ 3 ให้มากที่สุด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
เมื่อเรามีเข็มมุ่งที่ชัดเจน มี GPS ที่ชัดเจนว่าเราต้องการจะเดินไปที่ไหน ภารกิจต่อไปคือนโยบายทั้งหมดก็จะต้องมาตอบโจทย์สิ่งที่เราวางเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งครั้งนี้สิ่งที่เราพูดมาแต่ต้นคือเรื่องของการ ‘สร้างโอกาส ล้างหนี้ มีกิน’
เรื่องล้างหนี้ เรามีนโยบายอย่างเช่น การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี วงเงิน 500,000 บาท การแก้ไขปัญหาหนี้สินในกลุ่มที่เป็น NPL โดยการจ่าย 10% ก็สามารถปิดหนี้ได้ เราจะล้างหนี้ให้กับผู้สูงอายุที่เป็นหนี้เสียในแบงค์ของรัฐ นอกจากนี้เรายังมีการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยการให้สินเชื่อ 50,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อที่จะให้เขานำไปปิดหนี้นอกระบบ เพื่อคืนความปกติให้กับชีวิตเขา
ส่วนการสร้างโอกาส เช่นเรื่องการลดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทาง ด้วยนโยบาย ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ และการทำ ‘รถเมล์แอร์ 10 บาท’ รวมทั้งนโยบายในเรื่องของการลดค่าไฟ ซึ่งเราตั้งเป้าว่า ภายใต้กลไกที่เราสามารถทำได้และไม่เป็นภาระของงบประมาณ ค่าไฟจะต้องต่ำกว่า 3.70 บาท
ส่วนในเรื่องการศึกษาเรามีนโยบาย ‘เรียนได้งบ จบได้งาน’ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่จะช่วยในการอัพสกิล รีสกิล เพื่อเสริมสร้างให้พี่น้องประชาชนมีความรู้ ความพร้อมกับเศรษฐกิจใหม่
สุดท้ายคือเรื่องของการมีกิน นั่นก็คือการอัพเกรดประเทศ โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามา นำเอานวัตกรรมช่วยเสริมให้ประเทศเติบโตเข้าไปไปยังอุตสาหกรรมมูลค่าสูง และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นี่คือกลไกที่เราพยายามที่จะสร้างให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะต้องเติมเข้าไป เพื่อให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต โจทย์สำคัญคือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จะต้องเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงประชาชนทั้งประเทศ เพื่อที่เราจะสามารถทำสวัสดิการที่ดีให้กับทุกคนได้
—-
คำถาม : คิดว่าการเมืองไทยเทาระดับไหน
จุลพันธ์ : การเมืองอาจจะเทาอยู่ในเบอร์ปลายๆ แต่สังคมไทยยังอยู่เบอร์หนึ่ง ผมมองอย่างนั้น เพราะผมต้องเชื่อมั่นในประชาชน อย่างที่คุณยศชนันพูดเมื่อวาน เสียงประชาชนไม่มีเทา เพราะฉะนั้นเราต้องมีความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง เราต้องมีความเชื่อมั่นในประชาชน ที่เขาเลือกคนเข้ามา
ส่วนกระบวนการว่าด้วยเรื่องเทา ไม่เทา ไม่อยากให้เราอยู่ในกระบวนการป้ายสีใคร เพราะมันมีกระบวนการในการตรวจสอบ ว่าใครดำเนินการผิด ใครทำผิดกฏหมาย กระบวนการในการตรวจสอบต้องไปถึงอยู่แล้ว
แต่ในขณะนี้เป็นเรื่องของประชาชน ซึ่งเราต้องมีความเชื่อมั่น
—-
คำถาม : ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการกับคดีฮั้ว สว. อย่างไร
จุลพันธ์ : เรื่องฮั้ว สว. หากเอาเฉดสีการเมืองไทยเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาอีก เรื่องนี้เรียกได้ว่า ดำปี๋ เพราะนี่คือการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง เป็นกระบวนการที่เข้าไปแทรกแซงเพื่อให้ องค์กรที่ควรจะมีความเป็นอิสระ ถูกทำให้มีเฉดสีกลายเป็นสีน้ำเงินอย่างที่เห็น
กระบวนการตรงนี้วิธีแก้ คือการทำให้พรรคเพื่อไทยกลับไปเป็นรัฐบาล แล้วให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาเป็นพรรคร่วม จะได้ให้ไปอยู่ตำแหน่งเดิมคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เพราะเรื่องนี้หลังจากที่มีการตั้งรัฐบาลชุดนี้ (รบ.อนุทิน) เราเห็นได้ชัดว่ามีกระบวนการที่เข้าไปแทรกแซงการติดตามคดีความมันหยุดยั้งลง มีการถอนคำให้การในส่วนของพยานบางคน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนปัจจุบัน ด้วยความเคารพท่านนะครับ ผมอยู่ในวงการเมือง ตอนนี้ผมยังจำชื่อท่านไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยได้ยินข่าวสารว่ามีการดำเนินการในคดีความ พี่น้องประชาชนติดตามอยู่อย่างมีนัยยะสำคัญ ฉะนั้นมันเท่ากับว่ามันหายไปจากสังคม
วันนี้ นาทีนี้ ผมบอกได้เลยครับว่าเรื่องนี้เราทำอะไรไม่ได้ เราต้องใช้การเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น และถ้าหากเราไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ แล้วเข้าไปดำเนินการให้มันแล้วเสร็จ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเราก็เห็นแล้วว่ามันไม่สามารถแก้ได้ เรื่องคดีความต่างๆ องค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งจาก สว.ชุดปัจจุบัน สุดท้ายประเทศไทยถูกกินรวบ
ฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าพวกผมต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง และชนะให้ได้
—-
คำถาม : การสู้รบแนวชายแดนไทยกัมพูชาควรจบอย่างไร
จุลพันธ์ : ในส่วนของสถานการณ์ไทย กับกัมพูชา สำหรับผมผมคงไม่เป็นคนหนึ่งที่ออกไปพูดสนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรง
แต่สิ่งที่เราจะต้องดำเนินการ เราพูดมาตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นในรอบหลังว่า ให้ใช้ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า ‘โลกล้อมกัมพูชา’ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำกับตรงกันข้าม กระบวนการที่รัฐบาลทำ แน่นอนการปกป้องอธิปไตยเป็นสิ่งที่พวกเราเห็นร่วมกันไม่มีใครแตกต่าง ใช้กระบวนการที่เราจะต้องยึดมั่นในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ กระบวนการที่เราจะต้องใช้แรงกดดันจากนานาประเทศ
แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือการโดดเดี่ยวประเทศไทย เช่นพูดว่าเราจะไม่เปิดการเจรจา หรือเป็นการพูดในลักษณะ ไม่สนใจใยดีประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญซึ่งติดต่อเข้ามาเพื่อที่จะพูดคุยร่วมแก้ปัญหาในเรื่องนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือสัญญาณที่ผิด และทำให้ประเทศไทยถูกโดดเดี่ยวในสายตาของประชาคมโลก
หากเราลองไปติดตามข่าวสารต่างประเทศ พวกเขาไม่ได้มีการลงข่าวว่า กัมพูชาเป็นผู้ยิงเข้ามาในไทยแล้วไทยเป็นคนตอบโต้กลับ เขามีแต่การพูดถึงการที่ไทยใช้เครื่องบินรบ ฉะนั้นภาพลักษณ์ที่ออกไป เรากำลังอยู่ในจุดที่มีความเสียเปรียบ
สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่ายังจบไม่ง่าย รัฐบาลก็พูดแต่ว่าจะต้องเดินหน้าให้สุด แต่ถามว่ามันจะจบอย่างไร และข้อเท็จจริงไม่เคยมีสงครามที่ไหนจบลงด้วยการการใช้ความรุนแรง มันจบลงที่โต๊ะเจรจา
ฉะนั้นตอนนี้สิ่งควรจะต้องทำคือ การหาช่องทางในการพูดคุยเพื่อจบสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อคืนความปกติให้กับพี่น้องประชาชน
—-
คำถาม : ปัญหาน้ำท่วมหาาดใหญ่ สร้างความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินประชาชนมาก ท่านมีวิธีรับมืออย่างไร
จุลพันธ์ : ประเด็นเรื่องน้ำท่วมหาดใหญ่ อย่างแรกผมเรียนก่อนว่าเราอย่าพึ่งลืมอยุธยา เพราะที่นั่นถูกแช่น้ำมาสามเดือน ส่วนหาดใหญ่เองก็เสียหายหนักมาก แต่ตอนนี้โฟกัสของสังคมรวมถึงรัฐบาล ไปมุ่งแต่เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา กระทั่งปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตรงนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไข
ส่วนประเด็นต่อมาคือ พรรคเพื่อไทยก็มีนโยบาย ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างน้ำทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ กระบวนการในการจัดการปัญหาที่หาดใหญ่ ก็ไม่อยากให้โดยเฉพาะแค่หาดใหญ่เท่านั้น เพราะสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ เมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ก็เกิดได้ หรือพัทยาก็เกิดขึ้นได้ มีอีกหลายเมืองที่มีความเสี่ยง
เพราะสิ่งนี้คือ Urban Flood ซึ่งเกิดจากการที่เมืองขยายตัวโดยไม่มีการวางแผนที่มีความเหมาะสม เมื่อเมืองขยายตัว ตัวตึกและตัวถนนเป็นสิ่งกีดขวางทางน้ำ ทำให้น้ำไม่มีที่ระบาย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือบทเรียน ในกรณีที่เราจะพัฒนาประเทศในมิติใดก็ตาม การที่นำเอามิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติในด้านของการพัฒนาเมืองที่มีความเหมาะสม และระมัดระวังผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ และนำเข้ามาประกอบในการพัฒนาเมืองในมิติต่างๆ
—-
คำถามจาก ส.อ.ท. : พรรคมีแนวทางในการช่วยเหลือ SMEs อย่างไร เช่นการเข้ามาของสินค้าทุ่มตลาด และการเข้าไม่ถึงแหล่งทุน
จุลพันธ์ : เรื่องนี้เราทำมาบางส่วนแล้ว เช่นเรื่องการกันสินค้าบางประเภท ที่ไหลเข้าจากประเทศจีน และมีการเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรก นี่คือสิ่งที่เราได้ดำเนินการไปแล้ว
สอง เราเห็นช่องอยู่แล้วว่ากระบวนการในการป้องกันสินค้าดั๊มตลาด วิธีการก็คือ การทำให้ศุลกากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็นด่านหน้า โดยเราจะต้องใช้เทคโนโลยี ในเรื่องการเอ็กซเรย์ให้มากขึ้น เพิ่มสัดส่วนการเอ็กซเรย์ ซึ่งเราจะสามารถป้องกันสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่หลบเลี่ยงเข้ามา
ส่วนการเข้าถึงทุนของ SMEs พรรคเพื่อไทยได้ทำไปแล้วค่อนข้างมาก และเรามีร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้กับ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการบางคนอาจจะไม่มีเครดิตเพียงพอที่จะเข้าถึงเม็ดเงินได้ จึงออกแบบให้มีการใช้ภาครัฐเป็นผู้ค้ำประกันให้
นอกจากนี้เราจะต้องสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในเรื่องการเงิน เมื่อวานนี้มีดีเบตอีกเวทีหนึ่งที่มีการพูดถึง Financial Hub ซึ่งจริงๆ แล้ว มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้นภายใน 3-5 ปีนี้ เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการเติบโตถึง 20 ปี ถ้าหากสามารถเกิดขึ้นได้ในตอนสุดท้าย มันจะกลายเป็นแหล่งในการระดมทุน ซึ่งสามารถมีประสิทธิภาพเพียงพอ ที่จะทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น และต้นทุนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านั้นถูกลงสำหรับประชาชน และภาคเอกชน
—-
คำถาม : การจะผลักดันให้ไทยเป็น Financial Hub จะเปิดช่องให้เงินเทาเข้าประเทศ และจะสร้างปัญหาให้ประเทศหรือไม่
จุลพันธ์ : เวลาเราคิดนโยบายเราต้องคิดให้ก้าวหน้า อย่าไปคิดให้ถอยหลัง และอย่าเอาข้อจำกัดของความกลัว มาเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศ
สำหรับพรรคเพื่อไทยเองเรามีนโยบายที่ก้าวหน้าหลายนโบาย Financial Hub เป็นอีกตัวหนึ่ง การที่เราบอกว่าเรากลัวทุนเทา ผมบอกว่าเราดูตัวอย่างง่ายๆ อย่างประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็น International Financial Hub อย่างประเทศดูไบ สิงคโปร์ เขาเกิดปัญหาเรื่องทุนเทาหรือไม่ เขามีกฎหมายที่กำกับดูแล ซึ่งเราเองก็ต้องการทำกฏหมายเหล่านี้ เราก็มาช่วยกันทำสิครับ มันเป็นหน้าที่ของ สส. เราก็แค่ทำกฏหมายให้มันรัดกุม และสามารถปกป้องประเทศ เป็นโล่ป้องกันประเทศให้มันเหมาะสม
ขณะเดียวกัน หากไทยสามารถเป็น International Financial Hub ได้ จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในเรื่องของการระดมทุนทางการเงิน ของภาคเอกชนที่อยู่ภายในประเทศ และภูมิภาค ซึ่งจะสามารถทำให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง
—-
รับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/live/8X_F6LMMeHs?si=ol3UqVUCeKv7dWoY
.
#นับหนึ่งจุดเปลี่ยนประเทศไทย
#เลือกตั้ง69
#เพื่อไทยทำได้
.
ผลิตสื่อโดย พรรคเพื่อไทย เลขที่ 197 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400 จำนวน 1 ชุด ตามวันเวลาที่ปรากฏ ที่ส่งมาในครั้งนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง